ดุสิตธานีแตกไลน์ขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอาหาร ลุยเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศ หวังเสริมแกร่งธุรกิจโรงแรม-กระจายความเสี่ยง
หลังจากที่โรงแรมดุสิต กรุงเทพฯ หยุดให้บริการเพื่อเตรียมพื้นที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ทำให้รายได้ของดุสิตธานีหายไป 20% จากปกติที่ทำรายได้ 700-800 ล้านบาท โรงแรมดุสิตธานีจึงต้องปรับกลยุทธ์ขยายฐานไปยังธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่โรงแรมมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอาหาร โดยได้ผุดโมเดิลธุรกิจอาหาร “Bring Asia to the World” หรือการนำอาหารไทยและอาหารในภูมิภาคเอเชียออกสู่ตลาดโลก ภายใต้แบรนด์ “KHONG THAI” ในนาม บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นยุทธ์ศาสตร์กระจายความเสี่ยง ส้รางความสมดุล ขยายการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต ภายใต้แผน มีทั้งเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทต่างๆ และผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเน้นหลักสมดุลย์ให้มาก หากมุ่งไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยง รวมถึงต้องทำสิ่งที่แตกต่างออกไปบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก เพราะว่าวันนี้เราถูก disrupt จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Business Model ใหม่ๆ ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าที่มีความหลากหลาย ดังนั้นการให้บริการจึงต้องมีความหลากหลายตามไปด้วยภายใต้ความไม่ประมาท
ล่าสุด ดุสิตธานี ได้เปิด “บ้านดุสิต”อย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 18 กันยายน 2562 ประกอบไปด้วย ห้องอาหารไทยเบญจรงค์, ร้านอาหารเวียดนามเธียนดอง, ห้องเต้นรำ, Garden Bar และ ดุสิต กูร์เมต์ คาเฟ่ และ บิสโทร ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มแฟนคลับและคนที่ต้องการมาสัมผัสบรรยากาศของความเป็นบ้าน
นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร กรรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า “ดุสิต ฟู้สด์” ร่วมมือกับโรงงาน MRF ในสัดส่วนลงทุน 25% พัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องแกง น้ำจิ้มไทย ซอส และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมกว่า 1,000 ประเภท เพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ “KHONG THAI” โดยชูจุดขายด้านรสชาติ“ดั่งเดิม”ของอาหารไทยแท้ๆ ที่สำคัญต้องมีกลิ่นหอม รสกลมกล่อม และใช้วัตถุดิบที่อยู่ในเมืองไทย
โดยได้ความร่วมมือกับ “เดวิด ทอมป์สัน” ชาวออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเชฟคนแรกที่ทำให้อาหารไทยได้รับ “มิชลินสตาร์” มาช่วยคิดค้นสร้างสรรค์เมนูอาหารแบรนด์ “ของไทย” เดวิดได้ศึกษาสูตรอย่างจริงจัง ที่เกิดจากความเข้าใจ ชื่นชอบอาหารไทย
สำหรับตลาดแรก ที่จะส่งออกคือ สหรัฐ ตามด้วย อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศษ เหตุผลที่เลือกตลาดอเมริกาเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ แต่ยอมรับว่ามีความยากและแข่งขันสูง เพราะการที่จะเข้าไปตั้งในเชลล์ใหญ่ในอเมริกาต้องใช้ทุนสูง ดุสิตธานีซึ่งเป็นรายใหม่ที่มีต้นทุนจำกัด จึงมีแผนจะเริ่มจำหน่ายในตลาดออนไลน์ก่อน เพราะเป็นตลาดใหญ่ และค่อยๆกระจายสู่ตลาดออฟไลน์ คู่ขนานไปกับการประชาสัมพันธ์ผ่านเชฟ เพื่อให้เกิดความรับรู้ในร้านอาหาร โดยจะเริ่มส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศปลายปีนี้ และในระยะต่อไปจะมีการจำหน่ายในเมืองไทย เริ่มจากโรงแรมดุสิตธานี บ้านดุสิต และห้างสรรพสินค้าต่างๆทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังได้ร่วมทุนตั้งบริษัท ดุสิต กูร์เมต์ จำกัด เพื่อดูแลการขายและการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารทั้งในตลาดต่างประเทศ และต่างประเทศภายใต้แบรนด์ดุสิตธานี ยังมีบริษัทเอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ ที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มปรุงรส และอาหารสำเร็จรูปอีกด้วย
ในต้นปี 2562 ดุสิตธานี ได้ขยายธุรกิจ เคเทอริ่ง อย่างเต็มตัว โดยได้เข้าไปซื้อหุ้น 51% ใน บริษัทเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มให้กับโรงเรียนนานาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากธุรกิจโรงแรม และอาหารแล้ว ดุสิตธานียังมีธุรกิจการศึกษา คือ วิทยาลัยดุสิตธานี ที่สอนด้านการบริหารและการจัดการโรงแรม ,เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต โรงเรียนสอนด้านศิลปะการประกอบอาหารสไตล์ฝรั่งเศส และยังแตกไลน์ไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัทเซ็ลทรัลพัฒนา รูปแบบผสมผสาน ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนสีลมและถนนพระราม4 มูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 36,700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566
ปัจจุบันดุสิตธานีมีอสังหาริมทรัพย์ที่ดูแลอยู่ 271 แห่งใน 14 ประเทศ ในเฉพาะส่วนที่เป็นโรงแรมมีแผนการเปิดบริการเพิ่มจำนวน 10 แห่งในปีนี้ โดยต้นปีได้เปิดให้บริการไปแล้วจำนวน 6 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 4 แห่งเตรียมเปิดให้บริการเร็วๆนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มีแผนจะเปิดให้บริการในต่างประเทศมากว่าในประเทศไทย
ทั้งนี้ดุสิตธานี มีรายได้ประมาณ 300 กว่าล้านบาท และตั้งเป้าว่าธุรกิจอาหารทั้งหมดจะทำรายได้พิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาทภายใน 2 ปีข้างหน้า หรือปี 2564 และคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า กลุ่มดุสิตธานี จะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมประมาณ 70% ธุรกิจการศึกษา 15% ธุรกิจอาหาร 15%
