“ติ๊กต็อก” ตั้งเป้ารายได้อีคอมเมิร์ซ 2 หมื่นล้านดอลล์
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ติ๊กต็อกหวังเพิ่มขนาดธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลกขึ้นมากกว่า 4 เท่า แตะระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์จากการขายสินค้าในปีนี้ โดยจะพึ่งพาการขยายตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตัวเลขดังกล่าวเป็นเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากยอดขายสินค้าออนไลน์รวม 4,400 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว โดยติ๊กต็อกตั้งเป้าที่ตลาดอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ไลฟ์สดขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่กางเกงยีนส์ไปจนถึงลิปสติก นอกจากนั้น ติ๊กต็อกยังหาทางเพิ่มยอดขายในสหรัฐกับยุโรปเช่นกัน แม้ความพยายามขยายการดำเนินงานอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอาจดูขัดกับความรู้สึกเพราะนักการเมืองอเมริกันขู่จะแบนติ๊กต็อก แต่การจับมือกับผู้ค้าและแบรนด์ในสหรัฐอาจช่วยให้ติ๊กต็อกมีพันธมิตรในช่วงที่กำลังโต้กลับเสียงวิจารณ์
ธนาคารจีนลดดอกเบี้ยเงินฝาก หวังกระตุ้นคนนำเงินจับจ่าย
ธนาคารรายใหญ่ของจีนพากันปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก หวังกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากการบริโภคฟื้นตัวล่าช้า โดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐ 6 แห่งลดดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียก 0.05% และลดดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 3 ปี และ 5 ปี ลง 0.15%
การลดดอกเบี้ยเงินฝากครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในเวลา 12 เดือน โดยนักเศรษฐศาสตร์แห่งบริษัทนาทิซิสชี้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะทำให้ผู้บริโภคนำเงินออมออกมาใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค และช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งจะเปิดโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวรวดเร็วกว่าคาดในไตรมาส 1 ปีนี้ แต่อ่อนแรงลงในช่วงต้นของไตรมาส 2 โดยหลักฐานล่าสุดคือยอดส่งออกที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนพ.ค. รวมทั้งการทรุดตัวของตลาดที่อยู่อาศัย และอัตราว่างงานในระดับสูง
เศรษฐกิจยูโรโซนถดถอยไตรมาสแรก
เศรษฐกิจของ 20 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร ตกสู่ภาวะถดถอยในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากเงินเฟ้อสูงทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยจับจ่าย ประกอบกับภาครัฐลดการใช้จ่าย โดยผลผลิตทางเศรษฐกิจในยูโรโซนลดลง 0.1% เทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่เมื่อไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ผลผลิตทางเศรษฐกิจก็ลดลง 0.1% เช่นกัน ทั้งนี้ เงินเฟ้อในยูโรโซนพุ่งขึ้นปีที่แล้วเมื่อรัสเซียบุกยูเครนส่งผลให้ราคาพลังงานทะยานขึ้น
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยุโรปในภาพรวมไม่ได้ถดถอย เพราะผลิตภัณฑ์มวลรวมในสหภาพยุโรปขยายตัว 0.1% ช่วงไตรมาสแรก หลังจากติดลบ 0.2% เมื่อปลายปีที่แล้ว
ควันไฟป่าแคนาดาทำสหรัฐเจออากาศเลวร้ายสุด
เมืองหลายแห่งในสหรัฐเผชิญหมอกควันพิษจากควันจากไฟป่าหลายร้อยจุดในภาคตะวันออกของแคนาดา ที่ลอยลงไปปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดวิเคราะห์ว่าผลกระทบจากควันไฟครั้งนี้ เลวร้ายเป็นอันดับ 3 ในสหรัฐนับจากปี 2549
ล่าสุดคว้นได้เคลื่อนตัวลงไปบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและปกคลุมรัฐวอชิงตัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากพากันอยู่ในอาคาร การจราจรเบาบาง รถไฟไม่ค่อยมีผู้โดยสาร หลังจากหลายบริษัทแจ้งพนักงานให้ทำงานที่บ้าน เจ้าหน้าที่เทศบาลประจำสวนสาธารณะ ก่อสร้างถนน และเก็บขยะ ระงับการออกมาทำงานกลางแจ้งชั่วคราว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธ (7 มิ.ย.) มลพิษทางอากาศของมหานครนิวยอร์กขึ้นแท่นเลวร้ายที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะควันจากไฟป่าในแคนาดาส่งผลให้เกิดหมอกควันสีส้มทั่วเมือง ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะออกนอกอาคาร
ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใน 15 รัฐตั้งแต่เวอร์มอนต์ เซาธ์แคโรไลน ไปจนถึงรัฐแคนซัสและโอไฮโอในแถบกลางประเทศ ประกาศเตือนภัยด้านสุขภาพที่เกิดจากควันพิษเหล่านี้
ซีเอ็นเอ็นตั้งผู้บริหารหญิงดูแลช่วงเปลี่ยนซีอีโอ
ซีเอ็นเอ็นตั้งทีมผู้บริหารขึ้นดูแลในช่วงสรรหาซีอีโอใหม่แทนคริส ลิคต์ โดยคณะผู้บริหาร 3 คนประกอบด้วยเอมี เอนเทลิส รองประธานด้านการสรรหาบุคลากรและพัฒนาคอนเทนต์สำหรับ CNN Worldwide, เวอร์จิเนีย มอสลีย์ รองประธานบริหารกองบรรณาธิการ และอีริก เชอร์ลิง หัวหน้าฝ่ายรายการ โดยเอนเทลิสจะเป็นหัวหน้าทีมบริหารชั่วคราว
การมอบหมายดังกล่าว เท่ากับว่าขณะนี้องค์กรข่าวทีวีรายใหญ่ในสหรัฐ ล้วนมีสตรีเข้าทำหน้าที่ระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นฟอกซ์นิวส์ที่อยู่ภายใต้การนำของซูซาน สกอตต์ ผู้ทำหน้าที่ซีอีโอ, MSNBC ที่มีราชิดา โจนส์ ในตำแหน่งประธาน ส่วนเวนดี แมคแมน เป็นประธานและผู้บริหารร่วมของ CBS News, รีเบกกา บลูเมนสเตน ประธานฝ่ายข่าว NBC News และคิม กอดวิน ประธาน ABC News
