กรมสรรพากรแห่งกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เตรียมออกกฎหมายเก็บภาษีความมั่งคั่งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและชดเชยที่รัฐจัดเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลไม่เพียงพอ โดยคาดว่าจะจัดเก็บภาษีความมั่งคั่ง 1% จากบุคคลที่มีทรัพย์สินมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้กรมสรรพากรของกรุงวอชิงตันมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยการจัดเก็บภาษีในลักษณะดังกล่าวจะเรียกจัดเก็บเฉพาะสินทรัพย์ทางการเงินหรือการลงทุนทางการเงินที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น
ด้านผู้เชี่ยวชาญทางภาษี กล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีความมั่งคั่งที่หน่วยงานภาษีแห่งรัฐวอชิงตันเตรียมเสนอนี้เท่ากับเป็นการที่รัฐบาลหันหน้าพึ่งพารายได้จากอภิมหาเศรษฐีสี่รายที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐ ที่อาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตัน ได้แก่ เจฟ เบโซส, บิล เกตส์, แมคเคนซี สกอตต์ และ สตีฟ บอลเมอร์ โดยหากรัฐบาลมีการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจริง คาดว่า เจฟ เบโซส จะต้องจ่ายภาษีสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเลยทีเดียว
นายแจเรด วอลแซค แห่งมูลนิธิภาษีของสหรัฐ ได้เขียนไว้ในเอกสารของหน่วยงานว่า หากมีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจริง รายได้ 97% จากการเก็บภาษีความมั่งคั่งจะมาจากมหาเศรษฐีทั้งสี่รายข้างต้น กล่าวคือ เจฟ เบโซส ซึ่งมีรายได้สุทธิ 2 แสนล้านดอลลาร์ จะต้องจ่ายภาษีภายใต้มาตรการใหม่ 2 พันล้านดอลลาร์ บิล เกตส์ ซึ่งมีรายได้สุทธิ 1.35 แสนล้านดอลลาร์ จะต้องจ่ายภาษี 1.3 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บอลเมอร์จะต้องจ่ายภาษีราว 870 ล้านดอลลาร์ ส่วนนางสกอตต์ อดีตภรรยาของเจฟ เบโซส จะต้องจ่ายภาษี 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทำให้ตัวเลขรวมของรายได้จากภาษีคิดเป็นเงินสูงถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
นายวอลแซคตั้งข้อสังเกตว่าหากมหาเศรษฐีทั้งสี่รายไม่มีความจำเป็นต้องทำหน้าที่บริหารงานในองค์กรในแต่ละวัน พวกเขาอาจเลือกที่จะย้ายไปอาศัยในรัฐอื่นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีดังกล่าวได้ ด้านนักวิจารณ์คาดว่าการตัดสินใจลงจากตำแหน่งซีอีโอของ เจฟ เบโซส ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะหลีกเลี่ยงภาษีนี้
อย่างไรก็ดี ผู้เสนอแผนการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมองว่าภาษีความมั่งคั่งมีความจำเป็นในการช่วยนำความยุติธรรมมาสู่ระบบการจัดเก็บภาษีที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดในประเทศ เพราะหากรัฐไม่มีรายได้และเลือกที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีในรูปแบบภาษีขาย ภาษีที่ดิน และภาษีอื่นๆ มากขึ้น ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้กับชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่ต้องควักกระเป๋าเพื่อจ่ายภาษีเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่มีในระดับปานกลางหรือน้อย