วอลมาร์ทกำไรพุ่งลิ่ว จ่ายโบนัสพนักงานไป 3 รอบ หลังโควิด-19 ดันยอดขายออนไลน์พุ่งเกือบ 100%
กำไรของ บริษัท วอลมาร์ท ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 79% ช่วงไตรมาส 2 หลังจากชาวอเมริกันแห่สั่งของทางออนไลน์ในช่วงเก็บตัวอยู่บ้าน ดันให้กำไรของบริษัทสัญชาติอเมริกันแห่งนี้เพิ่มขึ้นเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่ 6,480 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท
ส่วนรายได้จากอี-คอมเมิร์ซทะยานไป 97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน วอลมาร์ท ระบุว่า ยอดขายข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ตกแต่งสนามหญ้า ได้แรงหนุนจากเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 1,200 ดอลลาร์ หรือ 37,000 บาท ที่รัฐบาลจัดส่งให้คนในสหรัฐ
วอลมาร์ทถูกจัดว่าเป็นร้านขายสินค้าจำเป็นและเปิดบริการตลอดช่วงที่ไวรัสระบาด แม้ร้านค้าปลีกรายอื่นและบรรดาร้านอาหารต้องปิดไปชั่วคราว
นอกจากนี้ แม้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายด้านสิ่งของที่ไม่จำเป็น แต่ยังต้องซื้ออาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายวอลมาร์ทมาจากการขายของกินของใช้ที่จำเป็น รวมถึงสินค้าที่ให้ความบันเทิงตอนเก็บตัวอยู่บ้าน
การลงทุนด้านอี-คอมเมิร์ซของวอลมาร์ทเพื่อสู้กับแอมะซอนให้ผลลัพธ์ที่ดีช่วงไตรมาสที่ผ่านมา หลังจากสร้างจุดรับสินค้าริมทางเท้ากว่า 3,000 สาขา และเปิดบริการเดลิเวอรี่ส่งของชำถึงบ้านภายในวันเดียวกว่า 2,000 สาขา
นักวิเคราะห์ มองว่า วอลมาร์ทเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ฝ่าวิกฤติโรคระบาดมาได้อย่างไม่บอบช้ำ และดูเหมือนอยู่ในสถานภาพที่พร้อมเติบโตต่อไปในอนาคต เนื่องจากขายสินค้าราคาไม่แพงในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังซบเซาและชาวอเมริกันหลายล้านไม่มีงานทำ
อย่างไรก็ตาม วอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทที่จ้างงานมากที่สุดในสหรัฐ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มบางส่วนในช่วงโควิด-19 เพราะต้องจ้างพนักงานเพิ่มมากกว่า 5 แสนคน ตั้งแต่ต้นปี อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่อง 1,500 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้รวมถึงการจ่ายโบนัสเป็นเงินสดให้พนักงานไป 3 รอบ ในช่วงไตรมาส 2 โดยในรอบหลังสุดเมื่อเดือนที่แล้ว พนักงานรายชั่วโมงที่ทำงานเต็มเวลาได้โบนัสไปคนละ 300 ดอลลาร์ และคนงานนอกเวลา รวมถึงคนงานชั่วคราวได้โบนัส 150 ดอลลาร์
นอกจากวอลมาร์ทแล้ว Home Depot ก็รายงานยอดขายแข็งแกร่งช่วงไตรมาส 2 เพราะผู้คนซื้อของมาปรับปรุง ตกแต่งบ้านมากขึ้นในช่วงเก็บตัว ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 23% เป็น 38,050 ล้านดอลลาร์
ในเวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ รายงานว่า การสร้างบ้านใหม่เมื่อเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 22% ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี อันเป็นสัญญาณล่าสุดว่าภาคที่อยู่อาศัยน่าจะเป็นหนึ่งในแรงหนุนสำหรับเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา
