ส่วนแบ่งของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการทำการค้าระหว่างรัสเซียและจีนในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงต่ำกว่า 50% และนับเป็นครั้งแรกที่มีการพึ่งพา เงินดอลลาร์ ในการทำการค้าน้อยที่สุด
รัสเซียและจีนได้ลดความสำคัญของเงินดอลลาร์ในการทำการค้าระดับทวิภาคีลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2015 การดำเนินธุรกรรมแบบทวิภาคีระหว่างรัสเซียและจีนต้องพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐถึง 90% แต่ปัจจุบันมีการใช้สกุลเงินยูโรราว 30% และสกุลเงินของรัสเซียและจีน 24% ทำให้การพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงเหลือเพียง 46%
อเล็กซี มาสลอฟ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาด้านตะวันออกไกลประจำวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งรัสเซีย (Institute of Far Eastern Studies at the Russian Academy of Sciences) คาดว่าการยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐโดยรัสเซียและจีน น่าจะแสดงถึงการร่วมมือกันทางการเงินระหว่างสองประเทศโดยพฤตินัย
รัสเซียมีนโยบายที่จะยกเลิกการใช้สกุลเงินดอลลาร์มาตั้งแต่ปี 2014 หลังจากประเทศชาติตะวันตกรวมตัวใช้มาตรการลงโทษรัสเซียซึ่งแสดงเจตนารมณ์ที่จะรวมตัวกับไครเมีย ส่วนประเทศจีนได้หันมาใช้นโยบายเช่นเดียวกันในอีกไม่กี่ปีต่อมา เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศทำสงครามทางการค้ากับประเทศจีน
ในปี 2014 รัสเซียและจีนได้ลงนามในข้อตกลงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศระหว่างสกุลเงินรูเบิลและสกุลเงินหยวนมูลค่ารวม 1.5 แสนล้านหยวน (2.45 หมื่นล้านดอลลาร์) และในปี 2017 ทั้งสองประเทศได้ขยายข้อตกลงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านหยวน เป็นเวลา 3 ปี โดยจะสนับสนุนให้มีการใช้เงินสองสกุลในการซื้อขายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความสำคัญของเงินดอลลาร์สหรัฐลง
เมื่อปี 2019 รัสเซียและจีนได้บรรลุข้อตกลงในการใช้สกุลเงินของทั้งสองประเทศแทนการใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการทำการค้าระหว่างกัน ทางด้านรัสเซียได้ลดการถือครองทรัพย์สินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐลงครึ่งหนึ่ง หรือ คิดเป็นมูลค่า 1.01 แสนล้านดอลลาร์ และธนาคารกลางรัสเซียหันมาลงทุนในสกุลเงินหยวนคิดเป็นมูลค่า4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้รัสเซียมีเงินสกุลหยวนเพิ่มขึ้นในกองทุนเงินสำรองต่างประเทศจาก 5% เป็น 15% โดยปัจจุบันรัสเซียถือครองเงินทุนสำรองสกุลหยวนคิดเป็น 25% ของมูลค่าเงินสกุลหยวนทั้งหมดจากทั่วโลก
แม้ว่าการยกเลิกการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย แต่การจับมือกันระหว่างรัสเซียและจีนเพื่อบอกลาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนี้ อาจกลายเป็นการสร้าง “พันธมิตรทางการเงิน” ซึ่งอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้