โซนี่ ยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์และบันเทิงของญี่ปุ่น รายงานกำไรเดือนเม.ย.-มิ.ย.พุ่งขึ้น 53% หลังธุรกิจวิดีโอเกมทำกำไรมากเป็นประวัติการณ์ ช่วงผู้คนเก็บตัวอยู่บ้านยามไวรัสระบาด
โซนี่ บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น รายงานกำไร 233,000 ล้านเยน หรือกว่า 68,000 ล้านบาทในไตรมาสดังกล่าว ทะยานขึ้น 152,000 ล้านเยนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายขยับขึ้น 2% เป็น 1.97 ล้านล้านเยน หรือกว่า 500,000 ล้านบาท
ธุรกิจวิดีโอเกมได้รับความนิยมมากเมื่อผู้คนแห่สมัครใช้บริการ ทำให้สมาชิกของ PlayStation Plus ซึ่งเป็นบริการที่ต้องเสียเงิน มีจำนวนถึง 45 ล้านราย โซนี่ยังมีแผนอัพเกรดครั้งใหญ่กับการเปิดตัว PlayStation 5 เพื่อวางจำหน่ายปลายปีนี้
สภาพการณ์ดังกล่าวหนุนให้ยอดขายของธุรกิจเกมเพิ่มขึ้น 32% และทำกำไรจากการดำเนินงานได้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 124,000 ล้านเยน หรือกว่า 30,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 68% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการดาวโหลดเกม ไม่ใช่การออกไปซื้อเกมเป็นแผ่นๆ อันทำให้บริษัทมีส่วนต่างกำไรมากขึ้น
โซนี่ระบุว่า บริการสตรีมเพลงไปได้ดี เพราะผู้คนเก็บตัวอยู่บ้านในช่วงล็อกดาวน์ แต่ธุรกิจเพลงบันทึกเสียงและด้านอื่นไม่ค่อยดี ส่วนคอนเทนต์วิดีโอออนไลน์ก็ไปได้ดี เช่นเดียวกับธุรกิจบริการการเงิน ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจประกันและธนาคารออนไลน์
ยอดขายเกมที่แข็งแกร่งมาก สามารถชดเชยความซบเซาในแผนกอื่น โดยโซนี่เตือนว่าแผนกภาพยนตร์น่าจะได้รับผลกระทบไปอีก 2-3 ปี เพราะการถ่ายทำต้องล่าช้าออกไป อีกทั้งยังมีข้อจำกัดเรื่องที่นั่งในโรงภาพยนตร์ เนื่องจากต้องเว้นระยะห่างเพราะโควิด-19
นอกจากนั้น ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังลดลง รวมถึงยอดขายกล้องดิจิทัล ทีวี และแกดเจ็ตอื่นๆ ขณะที่โรงงานบางแห่งในจีนและมาเลเซียต้องปิดไปชั่วคราว
ในส่วนของความต้องการดิจิทัลเซนเซอร์และเซนเซอร์ภาพสำหรับสินค้าอย่างกล้องดิจิทัลและมือถือ ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ สืบเนื่องจากโควิด-19 และยอดขายสมาร์ทโฟนลดลง
บริษัทคาดว่าปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมี.ค. 2564 กำไรจะอยู่ที่ 510,000 ล้านเยน ลดลง 12% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปีนี้ โซนี่เปิดตัวต้นแบบรถพลังไฟฟ้า อันสะท้อนถึงการต่อยอดจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อุปโภคบริโภค ไปยังภาคธุรกิจใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล
ในส่วนของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์แห่งสหรัฐ รายงานการขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี เป็นจำนวน 4,720 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้รวมลดลง 42% เหลือ 11,800 ล้านดอลลาร์ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการที่ทั่วโลกล็อกดาวน์ ทำให้ดิสนีย์ต้องปิดสวนสนุก ปิดรีสอร์ท นำภาพยนตร์ออกฉายตามโรงหนังไม่ได้ และไม่สามารถจัดการแข่งขันกีฬาอันเป็นโปรแกรมหลักของดิสนีย์ทีวี
อย่างไรก็ตาม การเก็บตัวอยู่บ้านช่วยให้ธุรกิจสตรีมมิง Disney+ มีผู้ใช้งานทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60 ล้านยูสเซอร์ในเวลาไม่ถึง 9 เดือน ความนิยมบริการสตรีมมิงทำให้เดือนหน้าบริษัทจะเปิดตัวภาพยนตร์ “Mulan” ผ่านบริการดังกล่าว หลังจากเลื่อนเปิดตัวมานาน ส่วนการฉายตามโรงหนังนั้น จะมีในประเทศที่ทางการอนุญาตให้เปิดโรงภาพยนตร์ได้
ซีอีดิสนีย์ระบุว่าบริษัทให้ความสำคัญกับบริการสตรีมมิง และคาดว่าจะเปิดตัวบริการนี้ในอีก 9 ประเทศ หลังจากเพิ่งเปิดตัวในสหรัฐได้ไม่ถึง 9 เดือนและสามารถดึงดูดสมาชิกได้มากเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัว Disney+ ในอินเดีย ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศของยุโรป