แม้ว่าภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกา โดยการนำรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะถอนตัวจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับนานาชาติ และมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับจีนทั้งด้านการค้า เทคโนโลยี ต้นเหตุของโคโรนาไวรัส ตลอดจนถึงการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ยังคงออกมาประกาศจุดยืนและความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือทำงานกับทุกฝ่าย
ในขณะเดียวกัน นายสี จิ้นผิง ยังต้องการผลักดันให้ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเอเซีย (Asia Infrastructure Investment Bank (AIIB)) ทำหน้าที่เป็นตัวประสานระบบการกำกับดูแลเศรษฐกิจนานาชาติ
นายสี จิ้นผิง ได้กล่าวในการเปิดประชุมประจำปีของธนาคารผ่านทางระบบออนไลน์ว่าทุกฝ่ายควรเปิดกว้างและร่วมมือซึ่งกันและกันและทำให้ธนาคาร AIIB เป็นแบบอย่างในการร่วมมือแบบพหุภาคี
ธนาคาร AIIB ได้มอบวงเงินกู้เพื่อการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์แก่ประเทศสมาชิกนับตั้งแต่ปี 2016 ปัจจุบันธนาคารมีสมาชิก 102 รายจากเอเซีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกา และถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกับธนาคารโลกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา และธนาคารพัฒนาเอเชียซึ่งนำโดยประเทศญี่ปุ่น
นายสี จิ้นผิง กล่าวในที่ประชุมว่า ธนาคารจำเป็นต้องตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางเศรษฐกิจของโลกและต้องร่วมมือกับหุ้นส่วนในการพัฒนาด้านต่างๆ โดยมีการประชุมหารือ การร่วมมือ และการแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างกว้างขวาง ธนาคารยังจะต้องผลักดันให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับสากล มีความสมดุลและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ธนาคาร AIIB ได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูวิกฤตโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบปัญหา โดยมีวงเงินกู้ตั้งแต่ 5 พันล้าน ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์
ผู้บริหารของธนาคารได้แสดงความเห็นว่าโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ย่อมมีปัญหาและความขัดแย้งเป็นธรรมดา หากแต่นานาชาติต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาและพัฒนาให้เกิดระบบเศรษฐกิจและความร่วมมือกันจากหลายฝ่ายอย่างเป็นสากล