บริษัท Microsoft Corp. สรุปตัวเลขยอดขายรวมของบริษัทล่าสุดเพิ่มขึ้น 12% คิดเป็นมูลค่า 3.72 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ซึ่งเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เป็นผลมาจากความต้องการใช้งานระบบคลาวด์ และวิดีโอเกม รวมถึงความต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19
รายได้จากบริษัท Azure ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Microsoft ที่ให้บริการด้าน cloud-computing ถือเป็นอีกปัจจัยหนุนความสำเร็จทางการเงินของบริษัท และปัจจุบันเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญมากกว่าซอฟต์แวร์ Windows โดยยอดจำหน่ายระบบคลาวด์ทั้งหมดในไตรมาสล่าสุดมีมูลค่า 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว 3.6 พันล้านดอลลาร์
สถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ทั้งธุรกิจและบุคคลทั่วไปหันมาใช้บริการ cloud-computing ทำให้ซอฟต์แวร์สำหรับการทำงานร่วมกันอย่าง Teams ของ Microsoft ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์คู่แข่งอย่าง Slack Technologies Inc. และ Zoom Video Communications Inc. การหันมาเน้นธุรกิจให้บริการคลาวด์จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Microsoft
องค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ต่างหาวิธีปรับตัวโดยอาศัยแผนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและหันมาพัฒนารูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน ความจำเป็นในการทำงานจากบ้านและการเรียนออนไลน์ทำให้บริษัท Microsoft เล็งเห็นโอกาสจากปรากฏการณ์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าการดูแลระบบการให้บริการคลาวด์ให้ทำงานอย่างราบรื่นในช่วงที่ลูกค้ามีความต้องการใช้งานเพิ่มมากขึ้นจะเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากก็ตาม
นอกเหนือจากการให้บริการระบบคลาวด์แล้ว ธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ Microsoft ยังมีรายได้จากคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ อุปกรณ์เกม Xbox และแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ Surface ที่เพิ่มขึ้นโดยรวมราว 6% คิดเป็นมูลค่า 1.18 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่ธุรกิจคอนเทนต์สำหรับเกมทำรายได้เพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน และบริษัทยังมีแผนที่จะเปิดตัวคอนโซลเกม Xbox Series X รุ่นใหม่และคาดว่าจะมาแรงที่สุดภายในไตรมาสนี้อีกด้วย
Microsoft Corp. ตั้งเป้าว่าความต้องการใช้งานบริการด้าน cloud-computing การใช้งานวิดีโอเกม และการใช้คอมพิวเตอร์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 จะยังคงส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้เพิ่มอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้