เหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะถึงวัน เลือกตั้งสหรัฐ แต่ไม่ว่าใครจะชนะ หนึ่งในปัญหาเร่งด่วนที่รอการแก้ไข คือตลาดแรงงาน
นักเศรษฐศาสตร์ของเอสแอนด์พี ระบุว่า ข้อมูลตลาดแรงงานสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐขับเคลื่อนไปอย่างอ่อนแรง อัตราว่างงานอยู่ในระดับ 7.9% ซึ่งสูงกว่าหรือเท่ากับอัตราว่างงานในช่วงภาวะถดถอย 8 ครั้งจาก 11 ครั้งที่ผ่านมา
อัตราว่างงานซึ่งพุ่งไปแตะระดับสูงสุดถึง 14.7% เมื่อเดือนเม.ย. อาจสะท้อนความเปราะบางของตลาดแรงงานอเมริกัน ท่ามกลางสภาพที่ไม่มีงานให้ทำ หรือกระแสวิตกเกี่ยวกับสุขภาพตอนไปทำงาน หรือการต้องอยู่บ้านดูแลลูก-พ่อแม่ แทนการไปทำงาน
คาดว่ากว่าอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด ก็น่าจะอาศัยเวลา 4 ปี และขณะที่คนอเมริกันหลายล้านชีวิตกำลังรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่พรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันยังเจรจากันไม่ลงตัวเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับที่ 2
ทั้งนี้ พรรคเดโมแครตเสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มผลประโยชน์ชั่วคราวสำหรับผู้ตกงาน หลังจากความช่วยเหลือล็อตแรกสิ้นสุดลงเมื่อเดือนก.ค. ส่วนแผนการของพรรครีพับลิกันมีมูลค่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์
ในส่วนของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวนั้น อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวคิดคล้ายๆ กัน นั่นคือสัญญาจะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน อันจะนำไปสู่การสร้างงานพร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไอเดียของไบเดนเน้นที่โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ถึง 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลา 10 ปี และสร้างงานมากถึง 2.3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2567
ส่วนประเด็นการค้านั้น ทั้งไบเดนและทรัมป์หาเสียงว่าจะลดการพึ่งพาจีน แต่น่าจะด้วยวิธีแตกต่างกัน โดยทรัมป์คงจะเดินหน้านโยบาย “America First” แต่หากใช้นโยบายกีดกันการค้ามากขึ้นก็อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง สำหรับไบเดนนั้นคาดว่าจะหาแนวร่วมในการดำเนินนโยบาย
ในประเด็นเรื่องภาษีนั้น ภาษีนิติบุคคลลดลงจาก 35% เหลือ 21% ภายใต้การบริหารประเทศของทรัมป์ เพราะต้องการให้ใกล้เคียงกับประเทศอื่น และสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนำเงินกลับมาลงทุน-จ้างงานในประเทศ แต่เอสแอนด์พีชี้ว่าบริษัทต่างๆ นำเงินที่ได้จากการลดภาษีไปทำสิ่งที่เอื้อต่อผู้ถือหุ้น เช่น ซื้อคืนหุ้น สภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลข้างเคียงให้หนี้สินของประเทศเพิ่มขึ้น ในช่วงที่ตัวเลขขาดดุลของสหรัฐมีมากอยู่แล้วเพราะใช้เงินเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
สำหรับนโยบายของไบเดนนั้นต้องการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลไปอยู่ที่ 28%