หลังจากโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ทวีตว่าอเมริกาล็อคเป้าพร้อมตอบโต้ ขณะที่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐที่ว่าอยู่เบื้องหลัง แต่อิหร่านก็พร้อมจะทำสงครามเต็มรูปแบบ
แล้วสหรัฐจะทำสงครามกับอิหร่านมั้ย
หากมีสงคราม ก็น่าจะเป็นสงครามที่สองฝ่ายไม่ต้องการ เพราะทรัมป์หาเสียงเลือกตั้งมาด้วยการชูประเด็นถอนตัวออกจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และต้องการลดจำนวนทหารในประเทศต่างๆ อย่างอัฟกานิสถานและอิรัก ทั้งยังยืนกรานไม่เข้าไปยุ่งกับความวุ่นวายในเยเมนมากนัก
แต่ประเด็นที่น่าวิตกคือ ในกรณีของอิหร่านนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมือลั่นได้ และหากเกิดเหตุการณ์หรือความผิดพลาดอะไรขึ้นมาแบบไม่จงใจ ก็อาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเขม็งเกลียวและทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไป
Thomas Wright ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศแห่งสถาบัน Brookings เชื่อว่าสงครามเต็มรูปแบบไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น
เขามองว่าอิหร่านเลี่ยงที่จะพุ่งเป้าไปที่อเมริกา ส่วนทรัมป์ก็ดูเหมือนเลี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการตอบโต้กันไปมาจนอาจลุกลามเกินการควบคุม
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านเลวร้ายลงตั้งแต่สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อปีที่แล้ว อันเป็นข้อตกลงที่อิหร่านทำกับ 6 ชาติมหาอำนาจ แลกกันระหว่างการที่อิหร่านจะระงับโครงการนิวเคลียร์ กับการที่ตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
แต่ทรัมป์มองว่าข้อตกลงนี้ “ไม่ไหว” เลยถอนตัวไปและเดินหน้ากดดันอิหร่าน ล่าสุดก็เพิ่งทวีตว่าจะเพิ่มการคว่ำบาตร
Wright เชื่อว่าสหรัฐไม่ควรถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน เพราะการกดดันจะได้ผลก็ต่อเมื่อใช้ยุทธศาสตร์ทางการทูตร่วมด้วย ซึ่งทรัมป์ไม่มีอย่างหลังเลย
สำหรับอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียนั้น เป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาหลายสิบปี และมีสงครามตัวแทนในประเทศอย่างเยเมน ซึ่งกองกำลังซาอุดีฯ สู้รบกับกลุ่มกบฎฮูตีที่อิหร่านให้การหนุนหลัง
สหรัฐเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับซาอุดีฯ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้เดินทางไปซาอุดีฯหลังจากเกิดเหตุโจมตีโรงกลั่น
ซาอุดีฯใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ซื้ออุปกรณ์ทางทหารและอาวุธจากสหรัฐ ส่วนสหรัฐก็ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ซื้อน้ำมันจากซาอุดีฯ
ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐมีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เพราะทุ่มเงินไปกับการทหารหลายล้านล้านดอลลาร์ อิหร่านอาจไม่มีแสนยานุภาพทางทหารเท่าสหรัฐ แต่เคยโจมตีทางไซเบอร์และโจมตีพันธมิตรสหรัฐมาแล้ว
Wright เชื่อว่าความตึงเครียดมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไป และคาดว่าไม่มีการทำข้อตกลงกัน โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐใกล้มีการเลือกตั้ง
ล่าสุดกระทรวงกลาโหมสหรัฐประกาศว่าทรัมป์อนุมัติให้ส่งทหารเพิ่มเติมเข้าไปยังตะวันออกกลาง เพื่อเสริมการป้องกันทางอากาศให้แก่ซาอุดีฯและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์