ความหวังผลักดันยานยนต์อีวีเรืองรอง หลังอินเดียพบแหล่งแร่ลิเทียม
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงเหมืองแร่ของอินเดียประกาศว่าพบแหล่งแร่ลิเทียม 5.9 ล้านตันเป็นครั้งแรกในประเทศ ที่รัฐจัมมูและแคชเมียร์ โดยแร่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญ ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและแผงพลังงานแสงอาทิตย์
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าแหล่งแร่ลิเทียมที่พบมีคุณภาพดีอันดับต้นๆ เพราะมีเกรดความเข้มข้น 500 ppm ขึ้นไป เทียบกับเกรดธรรมดาที่ 220 ppm และด้วยปริมาณแร่ที่มากถึง 5.9 ล้านตัน จะทำให้อินเดียแซงหน้าจีนในปริมาณการมีแหล่งแร่ลิเทียม
เจ้าหน้าที่สภาพลังงาน สิ่งแวดล้อม และน้ำของอินเดีย ระบุว่าลิเทียมเป็นแร่หายากที่ถูกยกให้เป็น ‘ทองคำขาว’ โดยทั่วโลกมีลิเทียม 98 ล้านตัน และที่ค้นพบในอินเดียนั้น มีสัดส่วน 5.5% ของทั้งโลก โดยที่ผ่านมาอินเดียพึ่งพาการนำเข้าลิเทียม 100%
มีการประเมินชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าชิลีมีแหล่งลิเทียมมากที่สุดในโลก 9.2 ล้านตัน ตามด้วยออสเตรเลีย 6.2 ล้านตัน ดังนั้นการค้นพบแหล่งลิเทียม 5.9 ล้านตัน อาจทำให้อินเดียครองอันดับ 3 ประเทศที่มีแหล่งลิเทียมมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียได้เสนอแรงจูงใจอย่างน้อย 3,400 ล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ทั้งยังมีแนวคิดว่าหากสามารถผลิตส่วนประกอบที่สิ้นเปลืองที่สุด นั่นคือแบตเตอรี่ ได้ภายในอินเดียเอง จะทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้ามีราคาพอซื้อหาได้ในตลาด อีกทั้งยังอาจทำให้อินเดียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าก็เป็นได้
แนวคิดดังกล่าวเป็นที่สนใจของบรรดามหาเศรษฐี อย่างมูเกช
อัมบานี เจ้าของ Reliance Industries ซึ่งกำลังสร้างโรงงานแบตเตอรี่อีวี
โดยอัมบานีอยู่ในบรรดา 3 บริษัท รวมถึง Ola Electric Mobility ผู้ผลิตสกูตเตอร์ และ Rajesh Exports ที่จะได้รับแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเซลล์แบตเตอรี่
อย่างไรก็ตาม คำถามอยู่ที่ปริมาณวัตถุดิบในอินเดีย เพราะอินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และปริมาณวัตถุดิบที่มีอยู่นั้น สามารถสนองความต้องการในประเทศสำหรับการผลิตแบตเตอรรี่ลิเทียมไอออนได้มากน้อยแค่ไหน
มีการคาดหมายว่าความต้องการลิเทียมจะขยายตัวขึ้น 100 เท่าภายในปี 2573 เฉพาะในอินเดียเอง ยังไม่ได้พูดถึงในระดับโลก เพราะในช่วงที่ทั่วโลกหันเหไปจากการใช้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันนั้น จะผลักดันให้ความต้องการลิเทียม นิกเกิล โคบอลท์ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตแบตเตอรีลิเทียมไออน พุ่งขึ้น
ผู้บริหารบริษัท Manikaran Power ซึ่งกำลังตั้งโรงงานแปรรูปลิเทียมแห่งแรกของอินเดียและต้องสรรหานิกเกิล โคบอลท์ ทองแดงจากต่างประเทศ ระบุว่าจีนครองส่วนแบ่งแร่ธาตุสำคัญไว้จำนวนมาก ขณะที่อินเดียมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะตามทัน ทั้งยังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศอื่นๆ รวมถึงสหรัฐ ซึ่งกำลังผลักดันการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ เพื่อเจาะตลาดนี้ที่จีนกำลังครอบครองอยู่
ฟอร์ดลงทุนพันล้าน จับมือหุ้นส่วนจีน สร้างโรงงานแบตเตอรี่อีวี
บริษัทฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่าเตรียมลงทุน 3,500 ล้านดอลลาร์ หรือกว่าแสนล้านบาท สร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในรัฐมิชิแกน ด้วยเทคโนโลยีและการสนับสนุนจากผู้ผลิตแบตเตอรี่สัญชาติจีน
โรงงานแห่งนี้จะจ้างคนงาน 2,500 คนและจะเปิดทำการในปี 2569 โดยจะผลิตแบตเตอรี่เพียงพอสำหรับรถอีวี 400,000 คันต่อปี
ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันรายนี้จะอาศัยเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่จากบริษัท Contemporary Amperex Technology (CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติจีน ซึ่งจะช่วยเหลือในส่วนของการตั้งโรงงานและมีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงานด้วย ขณะที่ฟอร์ดจะเป็นเจ้าของและควบคุมการผลิต รวมถึงแรงงาน ในโรงงานดังกล่าว
การเคลื่อนไหวเพื่อให้โรงงานดังกล่าวได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เรียกเสียงวิจารณ์ในช่วงที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีนกำลังเขม็งเกลียว โดยผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียขอถอนเวอร์จิเนียออกจากรายชื่อที่ตั้งโรงงาน
อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงาน United Auto Workers คาดการณ์ว่าโรงงานดังกล่าวจะก่อให้เกิดการจ้างงานรายได้ดีแก่สหภาพ
บิลล์ ฟอร์ด ประธานบริหาร ซึ่งเป็นทายาทของเฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัท พูดถึงการรับเทคโนโลยีจากบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สัญชาติจีน ว่าการผลิตแบตเตอรี่อีวีในอเมริกา จะทำให้สหรัฐเข้าใกล้ความเป็นอิสรภาพด้านแบตเตอรี่ และช่วยให้สหรัฐสามารถผลิตแบตเตอรี่ได้เองในที่สุด
CATL จะช่วยในเรื่องเทคโนโลยีสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ซึ่งราคาไม่สูงนักและจะช่วยให้รถอีวีของฟอร์ด มีระดับราคาที่จับต้องได้ โรงงานดังกล่าวจะเป็นโรงงานแรกในสหรัฐที่ผลิตแบตเตอรี่ LFP
ร้านค้าอังกฤษนำเสนอไอเดียฉลองวาเลนไทน์ในยุคเงินเฟ้อ
ร้านอาหารในอังกฤษ พากันปรับเมนูรับวันวาเลนไทน์ หวังดึงดูดลูกค้าในยุคที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
บริษัทวิจัย Kantar ระบุว่า ปัญหาซัพพลายเชนที่ติดขัดช่วงเกิดโรคระบาด และการที่รัสเซียบุกยูเครน ทำให้คนอังกฤษต้องจ่ายเงินค่าอาหารแพงขึ้น 16.7% ในช่วง 4 สัปดาห์นับถึงวันที่ 22 ม.ค. เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อปีที่แล้ว PizzaExpress เสนอชุดเมนู 3 คอร์ส พร้อมขนมปังรูปหัวใจ ในราคาหัวละ 23.95 ปอนด์ หรือประมาณ 981 บาท มาในปีนี้ PizzaExpress นำเสนอเมนูเรียกน้ำย่อย “love bundle” ตามด้วยพิซซ่าแบบ”คลาสสิก” ในราคา 15 ปอนด์ หรือประมาณ 615 บาท)
ส่วนซูเปอร์มาร์เกตก็พยายามหาลูกค้าเช่นกัน ด้วยการพยายามตรึงราคาอาหารสำหรับวันแห่งความรัก อย่าง Morrisons ที่ขายอาหารชุดในราคา 15 ปอนด์ ประกอบด้วยจานเรียกน้ำย่อย จานหลัก เครื่องดื่ม ปิดท้ายด้วยของหวาน นอกจากนั้น สมาชิกยังได้ส่วนลด 1 ปอนด์กรณีสั่งดอกกุกลาบแดง หลังจากราคาดอกไม้ในอังกฤษปรับตัวขึ้น 6.2% เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
ส่วนเทสโก้ก็ลดราคาดินเนอร์สำหรับวันวาเลนไทน์ลงจาก 15 ปอนด์ เหลือ 12 ปอนด์ สำหรับสองคน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับซูเปอร์มาร์เกตต่างๆ ในการขายสินค้าให้แก่คน ที่ปกติไม่ได้ซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เกตเหล่านี้ เพราะอาจทำให้ลูกค้าติดใจและกลับมาซื้อซ้ำในอนาคต
ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ ระบุว่าการทานอาหารตามภัตตาคารหรือร้านอาหาร ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 9.4% ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในคืนวันวาเลนไทน์ก็สูงขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ตั๋วชมภาพยนตร์ ค่าแท็กซี่ หรือค่าจ้างคนมาดูแลลูก หลังจากบริษัทต่างๆ ขึ้นราคาสินค้า อันทำให้ผู้คนต้องจ่ายค่าชอคโกแลตแพงขึ้น 10.7%
ประเมินแผ่นดินไหวสร้างความเสียหายตุรกีกว่า 8 หมื่นล้านดอลล์
สมาพันธ์ธุรกิจตุรกี เปิดเผยรายงานที่ระบุว่าเหตุแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบศตวรรษที่ตุรกี อาจสร้างความเสียหายแก่ตุรกีสูงถึง 84,100 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านเรือน 70,800 ล้านดอลลาร์, การที่ทั้งประเทศต้องสูญเสียรายได้ไป 10,400 ล้านดอลลาร์ และการสูญเสียวันทำงานที่คิดเป็นมูลค่า 2,900 ล้านดอลลาร์
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ จะอยู่ที่การฟื้นฟูบ้านเรือน, สายไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสร้างที่พักชั่วคราวสำหรับผู้คนหลายแสนชีวิต ที่บ้านเรือนพังทลาย
ประธานาธิบดีเทยิพ แอร์โดอัน ระบุว่ารัฐบาลจะฟื้นฟูบ้านเรือนให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีและกำลังจัดเตรียมแผนการเพื่อให้ประเทศกลับมายืนได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ ประชากร 13.4 ล้านคน หรือประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมดในตุรกี อาศัยอยู่ใน 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟ คาดว่าผลกระทบต่อจีดีพีไม่น่าจะรุนแรงเท่าแผ่นดินไหวเมื่อปี 2542 ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณใจกลางย่านอุตสาหกรรม นอกจากนั้น หลังจากได้รับผลกระทบเบื้องต้นแล้ว การที่ภาครัฐและเอกชนช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย อาจช่วยหนุนจีดีพีในอนาคต
กระนั้น นักเศรษฐศาสตร์และเจ้าหน้าที่ของทางการ ประเมินว่าแผ่นดินไหวอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง 1-2% ปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัว 5.5%
รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินใน 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เป็นเวลา 3 เดือน และธนาคารกลางได้เลื่อนการชำระเงินกู้บางประเภทออกไป ขณะที่กระทรวงการคลังเลื่อนการชำระภาษีออกไปเช่นกัน