คณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ ยื่นฟ้องเฟซบุ๊ก ขอศาลบีบให้ยักษ์ใหญ่โซเชียล ขายสินทรัพย์อย่างอินสตาแกรมและวอทส์แอป
คำฟ้องระบุว่า เฟซบุ๊กรักษาสถานภาพผูกขาดด้วยการเข้าซื้อบริษัทต่างๆ ที่คุกคามขีดแข่งขัน ทั้งยังใช้นโยบายที่เป็นอุปสรรคอย่างไม่เป็นธรรมต่อคู่แข่งที่เฟซบุ๊กไม่สามารถเข้าซื้อ พร้อมกันนี้คณะกรรมการฯขอให้ศาลสั่งให้เฟซบุ๊กขายธุรกิจบางส่วน หรือปรับโครงสร้างธุรกิจ “รวมถึง แต่ไม่จำกัดอยู่ที่ อินสตาแกรม และ/หรือ วอทส์แอป”
ขณะเดียวกัน คณะอัยการจาก 46 รัฐ ก็ยื่นฟ้องเฟซบุ๊กเช่นกัน แต่ไม่ได้เรียกร้องอย่างชัดเจนให้เฟซบุ๊กขายธุรกิจบางส่วนออกไป โดยขอให้ศาลรัฐบาลกลางระงับพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันของเฟซบุ๊กและดำเนินการตามที่ศาลเห็นเหมาะสม
ด้านเฟซบุ๊กระบุว่ากำลังศึกษาคำฟ้องดังกล่าว พร้อมชี้ว่าที่ผ่านมา คณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางเป็นผู้อนุมัติให้เฟซบุ๊กเข้าถือครองอินสตาแกรมกับวอทส์แอป
ก่อนหน้านี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก ประกาศจะสู้คดีอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้ แม้ในกรณีที่อัยการของรัฐชนะในคดีนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้พิพากษารัฐบาลกลางว่าจะทำอย่างไรกับสถานะของเฟซบุ๊ก โดยที่ผ่านมาไม่มีค่อยมีกรณีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ขายธุรกิจบางส่วนออกไป แต่ก็เคยเกิดขึ้นอย่างกรณีของบริษัทเอทีแอนด์ทีเมื่อปี 2527
เฟซบุ๊กซื้ออินสตาแกรมเป็นเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2555 โดยในครั้งนั้นคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางอนุมัติข้อตกลงด้วยคะแนนเสียง 5-0 แต่อินสตาแกรมยังไม่เป็นที่นิยมในช่วงนั้น จากนั้นเฟซบุ๊กซื้อวอทส์แอปในปี 2557 เป็นเงิน 22,000 ล้านดอลลาร์
อดีตประธานคณะกรรมการการค้ารัฐบาลกลาง ระบุว่าแม้ผู้ดูแลกฎระเบียบอาจไม่ได้คัดค้านข้อตกลงเข้าซื้อวอทส์แอปกับอินสตาแกรมในครั้งนั้น แต่ก็มีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจเมื่อมีหลักฐานใหม่
ข้อวิตกส่วนใหญ่เกี่ยวกับเฟซบุ๊ก คือการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการต่างๆ เพื่อสร้างกลุ่มคนที่สามารถได้รับข้อมูลข่าวสารจำนวนมากกว่า 3,000 ล้านยูสเซอร์
นอกจากเฟซบุ๊กแล้ว ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรายอื่นก็ถูกฟ้องกรณีต่อต้านการผูกขาดเช่นกัน โดยเมื่อเดือนต.ค. กระทรวงยุติธรรมและ 11 รัฐ ได้ยื่นฟ้องกูเกิล กล่าวหาว่าพยายามผูกขาดตลาดการโฆษณาพ่วงผลการค้นหา ส่วนเมื่อเดือนที่แล้วเจ้าหน้าที่ในยุโรปกล่าวหาแอมะซอนว่าบั่นทอนการแข่งขันด้วยการใช้ข้อมูลผู้ขายอิสระ เพื่อประโยชน์ตนเอง