อังกฤษจะห้ามขายรถใช้น้ำมันตั้งแต่ปี 2578 หรือ 5 ปีก่อนกำหนด เพิ่มแรงกดดันอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องรับมือยอดขายรถซบเซา และผลกระทบจากเบร็กซิต
รัฐบาลอังกฤษระบุว่าการต่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งการห้ามขายรถที่ใช้น้ำมันตั้งแต่ปี 2578 ยังช่วยให้อังกฤษลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเหลือศูนย์ภายในปี 2593
ข้อห้ามครั้งนี้ ครอบคลุมถึงยานยนต์ไฮบริดด้วย
การห้ามขายรถใช้น้ำมันเร็วกว่าที่วางแผนไว้ 5 ปี เรียกเสียงวิจารณ์จากบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งระบุว่ารัฐบาลไม่ชัดเจนว่าจะยังเดินหน้าอุดหนุนการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าต่อไปหรือไม่ อีกทั้งสถานีชาร์จยังไม่เพียงพอ รวมถึงการเคลื่อนไหวนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียตำแหน่งงานด้วย
ผู้บริหารสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ายานยนต์ ระบุว่าการที่รัฐบาลห้ามขายรถใช้น้ำมันเร็วกว่าที่วางแผนไว้ จะทำให้อุตสาหกรรมยนต์ต้องลงทุนมากขึ้น ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้ายังมีสัดส่วนแค่เศษเสี้ยงของยอดขายรถทั้งหมด
การประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ ทำให้อังกฤษอยู่ในกลุ่มประเทศที่เป็นผู้นำด้านการเลิกใช้ยวดยานที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยประเทศในกลุ่มนี้ รวมถึงนอร์เวย์ที่ต้องการให้รถยนต์โดยสารและรถตู้ใหม่ทั้งหมด ที่ขายในประเทศ ไม่มีการปล่อยมลพิษภายในปี 2568 ส่วนอินเดียเรียกร้องให้รถยนต์รุ่นใหม่ที่จะออกวางจำหน่าย ใช้พลังไฟฟ้าภายในปี 2573
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองในอังกฤษของกลุ่มกรีนพีซ ระบุว่าอังกฤษควรเลิกใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน เร็วกว่านั้น คือภายในปี 2573 เพื่อให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม การกำหนดเป้าหมายห้ามขายรถใช้น้ำมันในอีก 15 ปีข้างหน้า นับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เพราะหมายความว่าตลาดยานยนต์อังกฤษจะพลิกโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ จำนวนยานยนต์ที่ใช้แบตเตอรีไฟฟ้า ที่ขายได้ในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว พุ่งขึ้น 144% แต่ยอดขายยังมีไม่ถึง 2% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนรถไฮบริด ซึ่งจะถูกห้ามตามนโยบายใหม่เช่นกัน มีสัดส่วนประมาณ 8% ของยอดขายยวดยานทั้งหมด
ผู้บริหารสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ายานยนต์ เรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำแผนการอย่างครอบคลุม เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ในการบรรลุเป้าหมายใหม่ พร้อมระบุว่าการห้ามขายรถใช้น้ำมัน 5 ปีก่อนกำหนด อาจบั่นทอนยอดขายรถไฮบริดที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนในระยะสั้น