“อีลอน มัสก์” ทวงคืนตำแหน่งรวยสุดในโลก
อีลอน มัสก์ กลับมาทวงคืนตำแหน่งบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกครั้ง จากการจัดอันดับของบลูมเบิร์ก หลังจากซีอีโอเทสลาผู้นี้ถูกเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอของแบรนด์หรูหรา LVMH แห่งฝรั่งเศส โค่นตำแหน่งไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้มัสก์หล่นไปอยู่อันดับ 2 เป็นเวลากว่า 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบลูมเบิร์กรายงานว่าราคาหุ้นเทสลาที่ทะยานขึ้น ทำให้มัสก์หวนมาครองแชมป์เศรษฐีพันล้านอีกครั้ง ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 187,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท ตามมูลค่าราคาตลาดเมื่อวันจันทร์ (27 กพ.) ซึ่งแซงหน้าอาร์โนลต์ที่มีสินทรัพย์มูลค่า 185,300 ล้านดอลลาร์
แม้เมื่อปีที่แล้วราคาหุ้นของบริษัทเทสลา ลดฮวบลง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยปัญหา ในการที่มัสก์เข้าถือครองกิจการทวิตเตอร์ ประกอบกับสภาพตลาดเทคโนโลยีซบเซา แต่ในปีนี้ราคาหุ้นของผู้ผลิตรถไฟฟ้าอย่างเทสลา กลับมาดีดตัวและทะยานขึ้นอีกครั้ง
แม้ครองตำแหน่งผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก แต่มัสก์ก็เคยได้รับการบันทึกว่าสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน เพราะเมื่อปลายปีที่แล้วเขากลายเป็นคนแรกของโลกที่ความมั่งคั่งหายวูบไป 200,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากสินทรัพย์ลดลงจาก 340,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนพ.ย. 2564 เหลือ 137,00 ล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. 2565
ไอเอ็มเอฟเตรียมร่างกฎคุมคริบโต
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ และคณะกรรมการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน หรือเอฟเอสบี เตรียมจัดทำเอกสารทางเทคนิค เพื่อวางกฎระเบียบเกี่ยวกับสินทรัพย์คริปโต โดยหวังจะได้รับความร่วมมือจากทั่วโลก หลังจากอินเดีย ซึ่งรับหน้าที่ประธานกลุ่มจี 20 เสนอแนวคิดดังกล่าวมา
จะมีการนำเสนอเอกสารทางเทคนิค เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้พิจารณาในการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่มจี 20 นัดต่อไป ซึ่งกำหนดมีขึ้นในเดือนต.ค.
แม้ธนาคารกลางอินเดียเสนอแนวคิดของการห้ามใช้สกุลเงินคริปโตอย่างสิ้นเชิง แต่รัฐมนตรีคลังอินเดียเสนอให้จัดทำกลไกในรูปของการจัดวางกฎระเบียบร่วมกันสำหรับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่าจะปล่อยให้แต่ละประเทศจัดทำแนวทางที่แตกต่างกันออกไป ปรากฏว่าแนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งกำลังหาทางให้นานาชาติร่วมมือกันกำหนดมาตรฐานด้านกฎระเบียบสำหรับสินทรัพย์คริปโต รวมถึงจัดทำมาตรการเพื่อลดต้นทุนในการชำระเงินข้ามประเทศ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟเน้นย้ำถึงผลพวงของการนำเงินคริปโตมาใช้ ว่าต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงคำนึงถึงโครงสร้างของระบบการเงินด้วย
สหรัฐสั่งจนท.ลบ ”ติ๊กต๊อก” ใน30วัน
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า บรรดาหน่วยงานภาครัฐมีเวลา 30 วันในการลบแอปติ๊กต็อก ออกจากอุปกรณ์และระบบของรัฐบาลกลาง
คำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐมีขึ้น หลังจากสภาแบนแอปยอดนิยมนี้ ไม่ให้มีบนอุปกรณ์ต่างๆ ของรัฐบาลกลางเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ท่ามกลางกระแสวิตกเกี่ยวกับความมั่นคงว่าบริษัทแม่ของติ๊กต็อกซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติจีน อาจยอมให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง วิตกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจใช้แอปนี้ เผยแพร่ข้อมูลที่ผิด หรือปรับอัลกอรึทึม เพื่อควบคุมสิ่งที่ยูสเซอร์ในสหรัฐ สามารถรับชม
ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่าจีนคัดค้านการปฏิบัติที่ผิดๆ ของสหรัฐ ในการเหวี่ยงแหเกี่ยวกับแนวคิดด้านความมั่นคง และปราบปรามบริษัทต่างๆ จากการมีส่วนร่วมในประเทศอื่นอย่างไม่สมเหตุผล
ขณะที่ซีอีโอของติ๊กต็อกมีกำหนดขึ้นชี้แจงต่อกรรมาธิการพลังงานและพาณิชย์ ประจำสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐในเดือนมี.ค. เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแพลตฟอร์มแห่งนี้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ว่าเกี่ยวพันกันหรือไม่ รวมถึงเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค และการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูล
ซูเปอร์มาร์เก็ตอังกฤษจำกัดซื้อผักผลไม้
บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของอังกฤษ ออกมาตรการจำกัดการซื้อผักผลไม้บางชนิด เนื่องจากปัญหาขาดแคลนสินค้า
เทสโก้ ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ที่สุดในอังกฤษ จำกัดการซื้อมะเขือเทศ พริกหยวก และแตงกวา โดยอนุญาตให้ลูกค้าซื้อคนละ 3 แพ็กเท่านั้น เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศย่ำแย่ในต่างประเทศ โดยบริษัทกำลังเร่งประสานกับซัพพลายเออร์ เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ
ด้านแอสด้าได้จำกัดการซื้อสินค้า 3 แพ็กสำหรับผักกาดหอม สลัดถุง กะหล่ำดอก และราสเบอร์รี่ ส่วนร้านมอร์ริสันส์จำกัดการซื้อสินค้า 2 แพ็กสำหรับแตงกวา ผักกาดขาว มะเขือเทศ และพริกหยวก ขณะที่ร้านอัลดิ และลีดิล ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตราคาประหยัดจากเยอรมนี ก็ออกมาตรการจำกัดการซื้อสินค้าเช่นเดียวกัน
สมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า สถานการณ์มาถึงจุดวิกฤต หลังจากปัญหาสภาพอากาศย่ำแย่ในยุโรปตอนใต้และแอฟริกาตอนเหนือ บั่นทอนการเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตร
เกาหลีใต้เล็งเปิดตัวแท็กซี่บิน
ผู้บริหารเอสเค เทเลคอม บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า บริษัทกำลังวางแผนเปิดตัวบริการแท็กซี่บินในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจดังกล่าวจะสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อปีที่แล้ว เอสเค เทเลคอม ได้ร่วมมือกับบริษัทโจบี เอวิเอชั่นแห่งสหรัฐ เพื่อพัฒนารถแท็กซี่บินสำหรับตลาดเกาหลีใต้ โดยโจบี เอวิเอชั่นเป็นผู้ผลิตยานพาหนะไฟฟ้าที่สามารถบินและร่อนลงจอดแบบแนวตั้ง ท่ามกลางการคาดหมายว่ายานพาหนะประเภทนี้จะกลายมาเป็นรูปแบบการขนส่งในเขตเมืองที่มีความหนาแน่น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัด
ปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีใต้กำลังเร่งผลักดันบริการแท็กซี่บินเชิงพาณิชย์ให้สำเร็จลุล่วงภายในปี 2568 ดังนั้น เอสเค เทเลคอมและโจบี เอวิเอชั่นจึงใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนของภาครัฐ
หากภายในปี 2568 เอสเค เทเลคอมสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพของบริการดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในด้านความปลอดและความมั่นคงต่อสาธารณชนทั่วไป รัฐบาลก็จะอนุญาตให้ขยายการดำเนินงานไปยังภาคส่วนต่าง ๆ เช่น โลจิสติกส์และการท่องเที่ยว