กลุ่ม ปตท.จัดงานแถลงผลการดำเนินงาน ปตท. ประจำปี 2563 รวมถึงแผนลงทุนในระยะข้างหน้า โดย “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท.ในปี 2563 ปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ รวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ รายได้ของกลุ่ม ปตท.ปี 2563 อยู่ที่ 1,615,665 ล้านบาท ลดลง 27% จากปีก่อน (YoY) ส่วนกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) อยู่ที่ 225,672 ล้านบาท ลดลง 22% YoY ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 37,766 ล้านบาท ลดลง 59% YoY

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 รายได้อยู่ที่ 407,174 ล้านบาท ลดลง 27% YoY แต่ปรับขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) EBITDA อยู่ที่ 71,614 ล้านบาท ปรับขึ้น 7% YoY และปรับขึ้น 6% QoQ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 13,147 ล้านบาท ลดลง 7% QoQ และลดลง 25% YoY
“กำไรสุทธิที่ลดลง 59% มาจากธุรกิจปิโตรและการกลั่นที่กำไรติดลบลงไป 19% ส่วนคนที่สร้างกำไรให้แก่กลุ่ม ปตท.ในปี 2563 จะมาจาก บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และกลุ่มธุรกิจก๊าซเป็นหลัก” อรรถพล กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในระยะข้างหน้า “อรรถพล” กล่าวว่า กลุ่ม ปตท.จัดเตรียมแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2564-2568 ภายใต้งบลงทุน 103,267 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซ 30% มูลค่า 30,552 ล้านบาท การร่วมทุนและการลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% สัดส่วน 26% ล้านบาท มูลค่า 27,267 ล้านบาท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (PTTLNG) 21% มูลค่า 22,150 ล้านบาท ธุรกิจท่อส่งก๊าซ 13% มูลค่ารวม 13,053 ล้านบาท และสุดท้ายธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การค้าระว่างประเทศ และปิโตรเลียมขั้นปลาย 10,245 ล้านบาท
อ่าน : ครม.อนุมัติเพิ่มกรรมการบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก 4 คน เสริมแกร่งองค์กร
อย่างไรก็ดี บริษัทจัดเตรียมวงเงินลงทุนไว้อีกประมาณ 3.32 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจ LNG โครงการ Southern LNG Terminal และท่อส่องก๊าซตามแผน PDP 2018 (แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) โครงการ Gas-to-power และการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) และพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
ขณะที่ภาพรวมวงเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติดำเนินการแล้วของบริษัทฯ ในกลุ่ม ปตท.ในระยะ 5 ปีเดียวกัน มูลค่ารวมประมาณ 8.51 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น สัดส่วนการลงทุนสูงที่สุด 51% ผ่านการลงทุนของ PTTEP โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ การสร้างความต่อเนื่องของการจัดหาก๊าซ จากโครงการเอราวัณ และบงกช โครงการ Algeria HBR โครงการลงทุนใน Southwest Vietnam โครงการสำรวจปิโตรเลียม SK410B ประเทศมาเลเซีย และโครงการลงทุน LNG ใน Mozambique
ถัดมา ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สัดส่วนการลงทุน 31% ผ่านการลงทุนของ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในโครงการ Clean Fuel Project (CFP) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ในโครงการ Ultra Clean Fuel Project (UCF) และการสร้างหน่วยกำจัด Sulfur ปรับปรุงคุณภาพ Diesel เป็นมาตรฐาน Euro V รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิต CDU2 และ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ในการขยายการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน และค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศ
อ่าน : หุ้นน้ำมันอ่วม! ‘ปตท.-บางจาก’ กำไรลดฮวบ ขาดทุนเฉียด 7 พันล้านบาท
ธุรกิจ ปตท. สัดส่วนการลงทุน 12% โครงการสำคัญ ได้แก่ โรงแยกก๊าซหน่วยที่ 7 โครงการท่อก๊าซบนบกเส้นที่ 5 โครงการลงทุนใน LNG Regasification Terminal แห่งที่ 2 และสุดท้าย ธุรกิจไฟฟ้า สัดส่วนการลงทุน 6% โครงการสำคัญได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP Replacement) แผนการลงทุนในหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit: ERU) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (แสงอาทิตย์/ลม)
“สำหรับการลงทุนยอมรับว่าต้องปรับพอร์ตไปธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจไฟฟ้า แต่เราจะเข้าไปลงทุนทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม (Value Chain) ไม่ใช่ลงทุนแต่โรงไฟฟ้าอย่างเดียว เช่นเดียวกับธุรกิจใหม่อื่นๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) และ Life Science ล่าสุด เราได้จัดตั้งบริษัทเพื่อโฟกัสกับธุรกิจใหม่อย่างจริงจัง เช่น Innobic (Asia) ที่ลงทุนด้าน Life Science โดยเฉพาะ” อรรถพล กล่าว
ทั้งนี้ การดำเนินงานเพื่อไปสู่ธุรกิจใหม่ กลุ่ม ปตท.จัดทำทั้งในรูปแบบการจับมือกับพันธมิตร รวมถึงการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าดีลธุรกิจอื่นๆ ออกมาอีกในปีนี้
ขณะที่เทรนด์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดทะลุ 60 เหรียญ/บาร์เรล ผู้บริหารกล่าวว่า กลุ่ม ปตท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปี 2564 เคลื่อนไหวบริเวณ 55-60 เหรียญ (ราคาน้ำมันดิบดูไบ) ขณะที่การปรับขึ้นไปทดสอบเหนือ 60 เหรียญนั้น มองว่าเป็นผลจากอากาศที่หนาวผิดปกติในรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น โดยกล่าวอีกว่าราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเป็นผลดีต่อธุรกิจของกลุ่ม ปตท. โดยเฉพาะธุรกิจต้นน้ำ PTTEP