เมื่อวันที่ 3 ม.ค.64 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 12 ปีของ “บิตคอยน์” (Bitcoin) สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก ราคาเหรียญได้ปรับขึ้นทะลุ 1 ล้านบาท หรือเป็นการปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) ส่งผลให้นักลงทุนทั้งหน้าเก่าและใหม่ต่างสนใจเข้ามาเก็งกำไรเป็นจำนวนมาก ในการนี้ “Bitkub” ที่ถือเป็นผู้ให้บริการกระดานซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ในประเทศไทย
กลายเป็นจุดหมายหลักของผู้ลงทุน ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ (Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงความง่ายในการเปิดบัญชีผ่านช่องทางออนไลน์
นอกจากนี้ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับแคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ผู้ให้บริการ BitKub กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทฯ โหมโฆษณาเว็บไซต์ตามสถานที่ต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า BTS และ MRT เป็นต้น เพราะเชื่อว่าบิตคอยน์จะปรับขึ้นตามรอบทุกๆ 4 ปี เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
โดยการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นไปตามที่ “จิรายุ” ประเมินเอาไว้ ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ของ Bitkub ทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามราคาเหรียญ สะท้อนจากจำนวนบัญชีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 40,000 บัญชี/วัน รวมถึงปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ปรับขึ้นมากกว่า 2,500 ล้านบาท/วัน และส่งผลให้แอปพลิเคชั่น “บิทคับ” ทะยานขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งยอดดาวน์โหลดแซงหน้า LINE และ Facebook
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ใช้งานที่ทะลักเข้ามามากเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ส่งผลให้ระบบต่างๆ ของ บิทคับ เริ่มมีปัญหา โดยวันที่ 13 ม.ค. บริษัทฯ แจ้งปิดให้บริการระบบฝากแบบ QR code และระบบถอนเงินบาทผ่านทุกช่องทางธนาคาร และถัดมาวันที่ 16 ม.ค. บริษัทฯ แจ้งปิดระบบซื้อ-ขายเหรียญชั่วคราว
แม้ว่าบริษัทฯ จะแจ้งเปิดให้บริการตามปกติในเวลาต่อมา แต่ผู้ใช้บริการยังเผชิญเหตุขัดข้องอยู่เรื่อยๆ ส่งผลให้ล่าสุด คณะกรรมการ ก.ล.ต. เปิดเผยผลประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ว่า
“คณะกรรมการ ก.ล.ต. ในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มีมติให้บริษัทส่งแผนการแก้ไขให้ ก.ล.ต. และดำเนินการแก้ไขระบบงานที่เป็นประเด็นปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน”
และส่งผลต่อเนื่องให้ในวันเดียวกันนั้น บิทคับ แจ้งลูกค้าปิดปรับปรุงแอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ ฉุกเฉินอย่างไม่มีกำหนด โดยปัจจุบันทั้งเว็บไซต์ของ บิทคับ “bitkub.com” และแอปพลิเคชั่น “บิทคับ” ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ก็ยังไม่สามารถกลับมาให้บริการปกติได้
อย่างไรก็ดี “จิรายุส” แจ้งผ่านไลฟ์บนเพจเฟซบุ๊ก “ท๊อป จิรายุส – Topp Jirayut” ถึงมาตรการเยียวยานักลงทุน โดยมีแผนจัดตั้ง “Customer Protection Fund” หรือกองทุนดูแลลูกค้า มูลค่ารวม 100 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้แก่นักลงทุนที่เสียโอกาสในการซื้อขายทำกำไรจากปัญหาระบบล่ม
“เงินสำรองที่แยกออกมาอีก 100 ล้านบาท ส่วนนี้ไม่ใช่เงินนักลงทุน แต่เป็นเงินของบริษัทที่แยกออกมาต่างหาก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เนื่องจากบางกรณีต้องใช้เวลาในการตรวจสอบกว่าจะโอนเงินคืนได้สำเร็จ เช่น ลูกค้าโอนเงินจากบัญชีอื่นที่มีชื่อ-นามสกุลไม่ตรงกับบัญชีซื้อขาย ส่งผลให้เงินไม่เข้าบัญชี เป็นต้น” จิรายุส กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้กล่าวถึงแผนขยายระบบ (Scale Up) ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานของลูกค้า ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มจำนวนพนักงานปฏิบัติการณ์ รวมถึงการปรับปรุงระบบคอลเซ็นเตอร์ มูลค่ารวม 400-500 ล้านบาทอีกด้วย
สุดท้ายนี้ ต้องยอมรับว่าสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ การได้รับเงินคืนเต็มจำนวนเป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างความสบายใจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Bitkub ที่ปัจจุบันมีทีมงานรวมทั้งสิ้นเพียง 240 คน การที่จะต้องรับมือกับลูกค้าเกือบ 1 ล้านคนเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมาก