นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวถึงแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นจากนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวลักษณะไซด์เวย์ เพราะสัปดาห์หน้าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการประชุม ซึ่งผลการประชุมจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทย เพราะการประชุมรอบนี้จะมีการประกาศตัวเลขคาดการณ์สำคัญหลายตัว เช่น จีดีพี เงินเฟ้อ และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่เฟด (Dot Plot)
ทั้งนี้คาดว่าดัชนีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในวันที่ 14 มี.ค. 2566 โดยประเมินแนวรับที่1,540 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,520 จุด ส่วนแนวต้านคาดอยู่ที่ 1,580-1,600 จุด และจากที่ไทยเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง จึงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 มี.ค.) ฟื้นตัวขึ้นมาได้ดีจากที่ดิ่งไปเกือบ 50 จุดเมื่อวันก่อน แม้จะไม่ได้มี catalyst พิเศษ แต่หลังจากที่ตลาดปรับลงไปใกล้ 1,520 จุดซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ ทำให้ P/E ลงมาที่ 15 เท่า นักลงทุนจึงตัดสินใจเสี่ยงเข้าซื้อ
ด้านเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ชะลอไหลเข้าตลาดตราสารหนี้แล้ว หลังจากช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาต่อเนื่อง 3 วันที่ผ่านมา Fund Flow โยกเข้าตลาดตราสารหนี้ไปค่อนข้างมากเพราะมองว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ยหลังจากเกิดปัญหาภาคธนาคาร แต่เนื่องจากล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดว่าเฟดอาจยังไม่ลดดอกเบี้ย น่าจะเลือกหนทางตรึงดอกเบี้ยไว้มากกว่า และยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่า Fund Flow จะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นมากนัก โดยเงินบาทวันนี้แกว่งตัวแคบ
แนะนำนักลงทุนปรับพอร์ตตามสถานการณ์ โดยลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นที่เคย perform จากดอกเบี้ยเฟดเป็นขาขึ้น อาทิ กลุ่มแบงก์, กลุ่มประกัน เนื่องจากมองว่าดอกเบี้ยคงไม่สูงไปกว่านี้ ขณะที่กลุ่มที่เคย under perform ก็น่าจะฟื้น อาทิ กอง REIT, สื่อสาร, อาหาร, ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น BJC, CPALL, MAKRO และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อิงกับตลาดพันธบัตร
โดย SET ปิดเมื่อวานที่ 1,565.00 จุด เพิ่มขึ้น 41.11 จุด (+2.70%) มูลค่าการซื้อขาย 69,703.56 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้นมาได้เกือบเท่า หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1,278 หลักทรัพย์ ลดลง 302 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 444 หลักทรัพย์
แนวโน้มในวันนี้ (16 มี.ค.) ตลาดน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ให้แนวต้านที่ 1,585 จุด แนวรับที่ 1,555 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ (15 มี.ค.)
AOT มูลค่าการซื้อขาย 3,650.42 ล้านบาท ปิดที่ 70.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,075.21 ล้านบาท ปิดที่ 131.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
PRTR มูลค่าการซื้อขาย 2,685.63 ล้านบาท ปิดที่ 10.10 บาท เพิ่มขึ้น 2.90 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,969.49 ล้านบาท ปิดที่ 61.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,956.56 ล้านบาท ปิดที่ 974.00 บาท เพิ่มขึ้น 40.00 บาท