หุ้น SYNEX ราคาพุ่งชนนิวไฮ 17.00 บาท ปรับขึ้น 19.57% ในรอบ 1 เดือน อานิสงส์ข่าวเปิดตัวไอโฟน 12 สัปดาห์นี้ โบรกฯ แห่ปรับประมาณการกำไรปีหน้า พร้อมแนะนำ ‘ซื้อ’ ด้าน ‘บล.ฟินันเซียฯ’ คาดไตรมาส 3 กำไรพุ่ง 53.5% ลุ้นไตรมาสสุดท้ายกำไรทำจุดสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) ในช่วง 1 เดือนทีผ่านมา (ตั้งแต่ 10 ก.ย. – 9 ต.ค.63) ปรับขึ้น 19.57% และปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 17.00 บาท ขณะที่ล่าสุดปรับลดลงมาปิดตลาดที่ 16.30 บาท (ณ 12 ต.ค.) โดยคาดการณ์ว่าเป็นผลบวกจากแรงซื้อเก็งกำไรการเปิดตัวไอโฟน (iPhone) 12 ในวันที่ 13 ต.ค.นี้
ด้าน นางสาวหมิ่นหลิง หวัง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนใน SYNEX บล.กสิกรไทย ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” (Outperform) ที่ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะปรับขึ้นเกินราคาเป้าหมายที่ประเมินเอาไว้แล้วก็ตาม
โดยชี้ว่าราคาหุ้นที่ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นผลจากปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุนบริษัทฯ ได้แก่ การปรับขึ้นของสัดส่วนรายได้จากสินค้าแอปเปิล (Apple) จากระดับไม่ถึง 10% ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 20% รวมถึงสัดส่วนรายได้จากสินค้าหัวเว่ย (Huawei) ที่ปรับลดลงจาก 30% มาอยู่ที่ 15% ในปัจจุบัน
เนื่องจากในปี 2562 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ส่งผลให้บริษัทกูเกิ้ล (Google) ประกาศงดให้บริการบนโทรศัพท์มือถือของ Huawei และส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังยอดขายสินค้า Huawei ของบริษัทฯ อย่างไรก็ดี คาดว่าผลกระทบจากยอดขายสินค้าที่ปรับลดลงได้สิ้นสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ไปแล้ว โดยสัดส่วนยอดขายสินค้า Huawei ทรงตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาสที่ 15%
ขณะที่ปัจจัยหนุนถัดมา ได้แก่ การเปิดตัว iPhone 12 ในวันที่ 13 ต.ค. รวมถึงการเปิดตัวไอแพด (iPad) และแอปเปิล วอทช์ (Apple Watch) ในช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งราคาสินค้าที่เปิดตัวในปีนี้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยถูกปรับเข้าไปอยู่ในกลุ่ม Tier 1 ส่งผลให้ได้รับสินค้าในระยะเวลาที่เร็วขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์หลังเกิดตัวในต่างประเทศ หรือคาดว่า iPhone 12 จะสามารถวางขายในไทยได้ภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้
นอกจากนี้ iPhone 12 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี 5G และการครบรอบการใช้โทรศัพท์มือถือทุกๆ 2-3 ปี จึงคาดว่าสินค้าของ Apple จะเป็นปัจจัยบวกหลักที่เข้ามาหนุนรายได้ในไตรมาส 4 ของ SYNEX ต่อไป
นางสาวหมิ่นหลิง กล่าวอีกว่า ในส่วนของมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ให้สิทิลดหย่อนภาษี 30,000 บาท เชื่อว่าจะเป็นปัจจับวกต่อบริษัทฯ เช่นกัน เนื่องจากวงเงินที่ได้รับการลดหย่อนภาษีที่ค่อนข้างสูงจะจูงใจให้ประชาชนนำเงินไปใช้จ่ายกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น
“จากปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้น เราจึงคงคำแนะนำ SYNEX ว่ายังโดดเด่น หรือ Outperform กลุ่ม แต่นักลงทุนที่จะลงุนอาจจะต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐานค่อนข้างมากแล้ว” นางสาวหมิ่นหลิง กล่าว
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ SYNEX โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นเป็น 17.00 บาท โดยประเมินแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากที่ลูกค้ารอซื้อสินค้ารุ่นใหม่ของ Apple รวมถึงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากที่สหรัฐแบน Huawei อย่างในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดการณ์กำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/63 ของ SYNEX ที่ 143.8 ล้านบาท ลดลง 13.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แต่ปรับขึ้น 53.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY)
ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิคาดว่าจะทำจุดสูงสุดของปีในงวดไตรมาส 4/63 นอกจากความต้องการสินค้ารุ่นใหม่ของ Apple แล้ว พบว่าสินค้าประเภทเกมส์ (Gaming) ไลฟ์สไลต์ (Lifestyle) และสุขภาพ (Health) ยังมีความต้องการต่อเนื่อง รวมถึงการจัดการส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) และช่องทางการจัดจำหน่ายยังทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
“เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2563-2565 ขึ้น 10.4% 8.9% และ 5.9% เป็นเติบโต 17.5% YoY 15.2% YoY และ 16.2% YoY ตามลำดับ หลักๆ มาจากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเป็น 4.4-4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ 4.0-4.2% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิปรับขึ้นเป็น 2.0% ในปี 2565 จาก 1.5% ในปี 2562” นางสาวจิตรา กล่าว
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ SYNEX เช่นกัน โดยราคาเป้าหมายอิงจากราคาเป้าหมายของ IAA Consensus ปี 2564 ระหว่าง 14.75-17.00 บาท เนื่องจากได้ปัจจัยบวกจากสินค้าไอที ทั้งมือถือและแก็ดเจ็ตได้รับความนิยมมากกว่าปกติหลังที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ขณะที่กำไรไตรมาส 3/63 คาดว่าจะชะลอตัวจากโลกซีซั่น แต่จะเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 4 จากการออกสินค้าใหม่