สถานการณ์หุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการปิดตัวของธนาคาร SVB ผสมความกังวลเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งยังต้องลุ้นว่าผลกระทบจะใหญ่แค่ไหน
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์หุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศที่ต่างปรับฐานลง เนื่องจากความกังวลธนาคารเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (SVB Financial Group) ที่สะท้อนว่าแบงก์มีปัญหาการปล่อยกู้ให้กับสตาร์ทอัพ ทำให้เพิ่มปัจจัยลบใหม่เข้ามาในตลาด จากเดิมที่ตลาดกังวลธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ก็มีควมเสี่ยงเรื่องเครดิตแบงก์ ซึ่งไม่รู้ว่าผลกระทบใหญ่แค่ไหน จึงมีแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง หุ้นปรับตัวลงค่อนข้างแรง ตลาดหุ้นไทยก็หนีไม่พ้น เงินทุนต่างชาติก็ไหลออกเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน และรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือนก.พ. ที่จะประกาศในวันอังคารนี้ โดยตลาดคาด 6.2% ชะลอจากเดือนม.ค.ที่ 6.4%
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ (13-14 มี.ค.) คาดว่าตลาดจะไม่ไปไหนไกล เพราะรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ หากเป็นไปตามที่ตลาดคาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะชะลอตัวลงก็จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ และปัจจัยในประเทศ หากมีการประกาศยุบสภาก็เป็นปัจจัยบวกเข้ามา เพราะจะมีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะไม่เลื่อนออกไป โดยให้ให้แนวรับที่ 1,590 จุด แนวต้านที่ 1,620 จุด
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (13-17 มี.ค.) ว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,590 และ 1,575 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,620 และ 1,630 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และประเด็นการเมืองภายในประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.พ. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร