โบรกฯ ชี้นักลงทุนสถาบัน ‘กองทุน-ต่างชาติ’ ขายหุ้นไทยต่อเนื่อง 6 วันทำการ หลังปรากฏการณ์หุ้น ‘GameStop’ ทำเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกปั่นป่วน กองทุนต้องขายหุ้นปรับพอร์ตมาชดเชยการขาดทุน กระทบหุ้นไทยเสี่ยงปรับฐานต่อเนื่อง แนวรับระยะสั้น 1,450 จุด
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้าวันที่ 1 ก.พ.64 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) เปิดตลาดปรับลงทำจุดต่ำสุดที่ 1,456.45 จุด ลดลง 10.53 จุด ก่อนปรับขึ้นเล็กน้อย
อ่าน : ทำเนียบขาวจับตาสถานการณ์ตลาด หลังหุ้น GameStop ทะยานกว่า 1,600%
โดยชี้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์นักลงทุนรายย่อยซื้อหุ้นบริษัท “เกมสตอป” (GameStop) โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์ หรือกองทุนที่ต้องบริหารความเสี่ยง จำเป็นต้องขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกเพื่อนำกำไรมาชดเชยส่วนที่ขาดทุนจากกรณีดังกล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งกองทุนในและต่างประเทศต่อเนื่อง 6 วันทำการ อีกทั้งปัจจัยแวดล้อมเชิงลบยังเข้ามากระทบต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 เปิดเผยผลการทดสอบต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศต่อไป
“เราประเมินแนวรับระยะสั้นที่ 1,450 จุด และภาพใหญ่อาจลงไปที่ 1,400 จุดต้นๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาหนุน แต่ปัจจัยลบใหม่กลับเข้ามาเรื่อยๆ ส่งผลให้ตลาดยีงไม่กล้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง” นายวิจิตร กล่าว
นายวิจิตร กล่าวอีกว่า สัปดาห์นี้ บล.เมย์แบงก์ฯ แนะนำหาหุ้นปันผลสูงกำไรดี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยพยุงราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ ได้แก่ AP หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จ่ายปันผลต้นปีรอบเดียว โดยปัจจุบันคาดการณ์อัตราเงินปันผลที่ 5.7% แม้ว่าแนวโน้มผลประกอบการอาจไม่เติบโตมากนัก แต่ยังสามารถรักษาฐานที่สูงได้ต่อเนื่อง จากอสังหาริมทรัพย์ที่รอโอน (Backlog) ที่สูงที่สุดในกลุ่ม
นอกจากนี้ แนะนำซื้อ JMART ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากบริษัทลูกมีแนวโน้มกำไรออกมาดีมาก โดยคาดว่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ทั้งกลุ่ม อีกทั้งล่าสุด บริษัทฯ ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) “KB Kookmin Card” ซึ่งคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้พิเศษเข้ามาในไตรมสา 1/64 ราว 200 ล้านบาท