ประเทศไทยมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME อยู่ถึง 3 ล้านราย หรือ 99.5% ของวิสาหกิจทั้งหมด มีการจ้างงาน 13 ล้านคน หรือ72% ของแรงงานในวิสาหกิจทั้งหมด การปรับตัวผลิตสินค้าด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Economy คือโอกาสสร้างความเติบโตทางธุรกิจ แต่ถ้าไม่ปรับตัว อาจทำให้ธุรกิจไม่ได้ไปต่อ
ปัจจุบันผู้บริโภค ธุรกิจ และอุตสาหกรรมยุคใหม่ มุ่งไปสู่สินค้าและบริการที่สร้างผลกระทบให้โลกน้อยที่สุด ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จีน สหรัฐ อียู ต่างหยิบยกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นเงื่อนไขในการนำเข้าสินค้าที่ต้องผ่านกระบวนการผลิตปล่อยคาร์บอนไม่เกินค่ากำหนด
โดยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) และ กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมจีน ได้ดำเนินการเรื่องนี้ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ร่วมกันประกาศแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการขยะพลาสติก 2020-25 (Action Plan for Plastic Control (2020-2025) ระยะเวลา 5 ปี มีเป้าหมายของการจัดการขยะพลาสติกในภาพรวม ได้แก่ ภายในปี ค.ศ. 2022 ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วทิ้งจะต้องลดลงอย่างชัดเจน และส่งเสริมให้ใช้สินค้าทดแทนอย่างแพร่หลาย โรงแรมที่มีการจัดลำดับดาว (สูงสุด 5 ดาว) จะไม่มีการจัดชุดผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วทิ้งในห้องพัก และภายในปี ค.ศ. 2025 จีนจะขยายการใช้นโยบายดังกล่าวในโรงแรมและธุรกิจ B&B ทั้งหมด
สหรัฐฯ เตรียมเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนและดำเนินมาตรการด้านพลังงานสะอาด เพื่อบรรลุ Net Zero หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 โดยสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูง โดยเสนอให้ผู้ผลิตของสหรัฐฯ และผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีคาร์บอน 55 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อการปล่อยคาร์บอน 1 ตัน หากกระบวนการผลิตสินค้ามีการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้ จะบังคับใช้กับสินค้า อาทิ เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ไฮโดรเจน กรดอะดิพิก ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม กระจก เยื่อกระดาษและกระดาษ และเอทานอล ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2567 และภายในปี 2569 จะขยายให้ครอบคลุมสินค้าสำเร็จรูปที่มีสินค้าข้างต้นเป็นส่วนประกอบในการผลิต ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าว อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา
สหภาพยุโรปเตรียมจัดเก็บภาษี Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ซึ่งเป็นมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป โดยจะเริ่มใช้ในปี 2569 นำร่องเก็บภาษีกับสินค้า 8 ชนิด ที่นำเข้ามาจำหน่ายในสหภาพยุโรป ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าต่างๆ โดยผู้ประกอบการที่จะส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในยุโรป ต้องแจ้งจำนวนสินค้า และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดกระบวนการผลิตสินค้านั้นๆ (Carbon Footprint) เพื่อคำนวณมูลเท่าเทียบเท่าเป็นตัวเงินของก๊าซเรือนกระจกนั้น เพื่อชำระให้กับหน่วยงานบริการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรป ก่อนที่จะมีการนำเข้าสินค้านั้นเข้าไปขายในประเทศสหภาพยุโรป
การใช้มาตรการของจีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในปี 2564 ไทยมีการส่งออกไปยัง 3 ตลาดดังกล่าวเป็นจำนวน 3.28 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 38.4% ของการส่งออกทั้งหมด ในจำนวนนี้ประกอบด้วยกลุ่มสินค้าสำคัญที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง อย่างเม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ยานยนต์และส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม รวมเป็นมูลค่าราว 4.9 แสนล้าน หรือคิดเป็น 14.9% อุตสาหกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตกับ SME ทั้งระบบ ผู้ประกอบการไทยจึงควรเตรียมรับมือกับการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตทั้งจากประเทศคู่ค้าและจากทางการไทยเอง ใครปรับตัวก่อนได้ไปต่อ แต่ถ้าปรับตัวไม่ได้ จะกลายเป็นมหันตภัยที่น่ากลัว