นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวในระหว่างเป็นประธานเปิดงานการพัฒนาการให้บริการภาครัฐเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ว่ารัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมต่างๆมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมในการรองรับการลงทุนของภาคธุรกิจโดยเฉพาะการลงทุนจากประเทศใหญ่ๆที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้รัฐบาลได้ตั้งเป้าว่าในส่วนของดัชนีตัวชี้วัดเรื่องความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ซึ่งธนาคารโลก (world bank) มีการจัดอันดับทุกปีและต่างชาติได้ใช้ดัชนีนี้ในการประเมินการเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งอันดับล่าสุดประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 21 จาก 190 ประเทศทั่วโลก โดยรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นไปอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ของโลกให้ได้ภายในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า
“อันดับของเราดีขึ้นเรื่อยๆ จาก 49 มาอยู่ที่ 21 ในปัจจุบัน และมีคะแนนอยู่ที่ 80.1 สูงสุดในรอบ 10 ปี ครม.ก็มีการหารือกันและตั้งเป้าว่าจะให้อยู่ในอันดับท็อปเทนของโลกให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับเรื่องที่รัฐบาลมีการผลักดันไปแล้ว และยังสนับสนุนให้ทำต่อเนื่องได้เตรียมความพร้อมที่มุ่งเน้นการใช้ Digital และe-service เข้ามาใช้ในการพื้นฟูเยี่ยวยาเศษฐกิจ แต่ยังขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญใน Advanced Technology จึงได้พัฒนาระบบ Smart VA เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญมาสร้างให้ประเทศเติบโต การปฏิบัติการของภาครัฐในชิงรุกนี้ ป็นการปรับปรุงนบริการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยความสะดวก ในการประกอบธุรกิ มีป้าหมายเพื่อให้ภาคธุรกิจติดต่อภาครัฐได้ “ง่ายขึ้น” เช่น บูรณาการการจดทะเบียน การเชื่อมโยงข้อมูลการเงิน “เร็วขึ้น” เช่น จองซื่อนิติบุคคล/อาคาร/e-Register/e-Stamp “สะดวกขึ้น” เช่น การบริการของภาครัฐตามห้างสรรพสินค้าที่ติดต่อได้ทุกวัน เป็นต้น