นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในช่วงที่ผ่านมาว่าได้ผลักดันผลงานให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งด้านพลังงานเป้าหมายของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงานทั่วถึง มั่นคง สร้างรายได้ให้ประเทศ การสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ลดภาระค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ ยกบทบาทไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมพลังงานสะอาดและลดมลพิษจากการใช้พลังงาน
ทิศทางพลังงาน 2563
ผุดโรงไฟฟ้าชุมชนได้ภายในครึ่งปีแรก
ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เกิดความเป็นธรรม
ส่งเสริมการใช้ B10 ทั่วประเทศ
เปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่
มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาค และการเป็นฮับ LNG
ในปี 2563 กระทรวงพลังงานได้วางทิศทางการดำเนินการด้านพลังงานไว้ 3 ด้านหลัก
ด้านเศรษฐกิจฐานราก/การช่วยค่าครองชีพประชาชน
เร่งผลักดันโรงไฟฟ้าชุมชนให้เกิดขึ้นภายในครึ่งปีแรก ขับเคลื่อนโครงการชุมชนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน อาทิ สถานีพลังงานชุมชุน และที่เร่งด่วนคือ โครงการสูบน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อสู้ภัยแล้ง การปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซให้มีความเป็นธรรม การส่งเสริมการใช้ B10 ให้กว้างขวาง และบริหารน้ำมันปาล์มดิบในภาคพลังงานอย่างเป็นระบบ
ด้านความเข้มแข็งทางพลังงาน
ทบทวนแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว (TIEB) ให้พร้อมเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า การเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ การผลักดันการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา รวมถึงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(EV)และค่าไฟฟ้ารถ EV และรถไฟฟ้าสาธารณะ
ด้านบทบาทนำในภูมิภาค
กำหนดกรอบเพื่อการเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาค และมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง LNG ซึ่งคาดว่าจะสามารถเกิดการซื้อขายได้จริงภายในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า
สำหรับในปี 2562 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ผลักดันนโยบายเป็นรูปธรรมหลายโครงการ ได้แก่ การส่งเสริมให้น้ำมัน B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดพื้นฐาน ซึ่งช่วยสร้างสมดุลของดีมานด์และซัพพลายของปาล์มน้ำมันให้เกิดขึ้นในระยะยาว ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันขยับขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัมละเกือบ 6 บาท
การผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป้าหมายเพื่อประชาชนในท้องถิ่นและเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ โดยมีกลไกของเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครื่องมือหนึ่งมาร่วมพัฒนาทำให้เกิดเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ยังมีนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนด้านพลังงาน ซึ่งจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครัวเรือนไทยสูงถึงประมาณเดือนละ 2,280 บาท
ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ช่วยลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ทั้งการตรึงราคาก๊าซหุงต้มขนาด 15 กิโลกรัมไว้ที่ 363 บาทต่อถัง ช่วยตรึงค่า Ft ช่วง 4 เดือนแรกของปีหน้า และการลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและกลุ่มดีเซลลิตรละ 1 บาทเป็นการชั่วคราว เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 62 – 10 ม.ค.63
ทั้งนี้ไทยในฐานะประธานอาเซียน ในปี 2562 และเป็นเจ้าภาพหลักในการประชุมขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศ ไปใต้เชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ โดยการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนที่ผ่านมาได้เพิ่มกรอบการขายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ผ่านไทยไปยังมาเลเซียขึ้นอีกเป็น 300 เมกะวัตต์
พร้อมกันนี้กระทรวงพลังงานยังสร้างรายได้เข้าสู่ภาครัฐ โดยปีงบประมาณ 2562 จัดเก็บรายได้จากกิจการปิโตรเลียมเข้าสู่ภาครัฐจำนวน 166,332 ล้านบาท ค่าภาคหลวง 45,555 ล้านบาท เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ 1,151 ล้านบาท รายได้จากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย 12,688 ล้านบาท เป็นต้น