ทำเนียบขาวปล่อยข่าวผ่านสื่อต่อการที่สหรัฐเตรียมจำกัดเม็ดเงินการลงทุนในจีน รวมทั้งใช้มาตรการถอดถอนบริษัทจีนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท
รายงานข่าวเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ทำเนียบขาวอยู่ในระหว่างตัดสินใจในมาตรการเข้มงวดการลงทุนที่มีต่อจีน เช่น การถอดถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ และจำกัดการลงทุนของ Government Pension Funds ของสหรัฐในตลาดหุ้นจีน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กอ้างแหล่งข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกำลังพิจารณาที่จะจำกัดพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนสหรัฐในจีน และจะสร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการลงทุนในเม็ดเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์
[restrict]นอกจากนี้ บลูมเบิร์กยังรายงานว่า แนวทางหลักในการจำกัดการลงทุนของสหรัฐในจีน ก็คือการถอดบริษัทจีนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และจำกัดการลงทุนของกองทุนบำนาญของรัฐบาลสหรัฐในตลาดหุ้นและตลาดการเงินของจีน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ตลาดหุ้นเทคโนโลยี Nasdaq ได้คุมเข้มข้อกำหนดและชะลอการอนุมัติคำขอเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ของบริษัทจีนหลายแห่ง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่มีรายงานข่าวของทำเนียบขาวเตรียมมาตรการจำกัดการลงทุนในจีน และมีความต้องการจะถอดบริษัทจีนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม โฆษกของตลาดหุ้น Nasdaq ออกมาชี้ว่า มีนโยบายไม่เลือกปฏิบัติ และต้องการให้เป็นตลาดที่มีการซื้อขายอย่างเป็นธรรมต่อบริษัทจดทะเบียนทุกแห่ง แต่ขณะเดียวกัน Nasdaq ก็เป็นตลาดหุ้นของสหรัฐ ที่ต้องการเปิดโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุนชาวอเมริกัน
ที่ผ่านมา การซื้อขายหุ้น IPO ของบริษัทจีนส่วนใหญ่มีการซื้อขายเบาบางหลังจากได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนชาวจีน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า บริษัทจีนราว 200 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในปัจจุบัน
อีกทั้งยังส่งผลต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทอยู่ในแดนลบ โดยดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ที่ 26,820 ลดลง 70.87 จุด หรือ 0.26% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,961 ลดลง 0.53% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,939 ลดลง 1.13% หลังเกิดกระแสข่าวดังกล่าว และยังส่งผลต่อค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงแตะระดับ 7.15 หยวนต่อดอลลาร์เมื่อวันศุกร์
แต่นักลงทุนยังคงคาดหวังเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงวันที่ 10-11 ตุลาคม ที่กรุงวอชิงตัน โดยหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน รวมกับทีมของสตีเวน มนูชืน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งเป็นรอบที่ 13 หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศเปิดศึกสงครามการค้าในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จีนมีเป้าหมายว่าจัซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐในวงเงิน 5,900 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ราว 60% เป็นการซื้อสินค้าถั่วเหลือง หรือเป็นปริมาณถั่วเหลืองจำนวน 600,000 ตัน ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ที่จีนปรับเพิ่มภาษีที่เรียกเก็บจากถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐที่ระดับ 25% เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ได้เพิ่มภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน
ท่ามกลางกระแสข่าวเกี่ยวกับมาตรการเข้มงวดเม็ดเงินการลงทุนจากสหรัฐในตลาดหุ้นของจีน รวมถึงการสกัดเสนอขายหุ้น IPO เพื่อเข้าจดทะเบียน และการถอดบริษัทจีนออกจากการซื้้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่อาจจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อหวังกดดันการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรอบใหม่ในเดือนตุลาคมนี้[/restrict]