Brexit ส่งผลกระทบต่ออังกฤษจากการโยกย้ายเม็ดเงินออกไปกว่า 1.3 ล้านล้านยูโรหรือ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ศูนย์กลางทางการเงินในยุโรป หากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (EU) โดยไร้ข้อตกลงในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า 24 สถาบันการเงินที่ทำธุรกรรมอยู่ในลอยดอนในฐานะศูนย์กลางทางการเงินโลกอีกแห่งหนึ่งนั้น ได้ย้ายฐานธุรกิจการเงินออกไปอยู่ในปารีสและแฟรงก์เฟิร์ตถึง 24 แห่งในจำนวนนี้ 7 แห่งเป็นธนาคารและสถาบันการเงินของเอกชน ส่วนอีก 17 แห่งเป็นธนาคารและสถาบันการเงินของรัฐ
ขณะที่ชาวอังกฤษแสดงความไม่พอใจต่อการที่บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ มีคำสั่งขยายเวลาปิดสมัยประชุมสภาออกไปอีก 1 เดือนจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อให้รัฐสภาอังกฤษมีเวลาคัดค้านกระบวนการ Brexit ลดน้อยลง โดยเหลือเพียง 2 สัปดาห์ก่อนจะครบกำหนดเส้นตายที่อังฤษต้องออกจาก EU ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
[restrict]โดยที่ประชาชนได้ลงชื่อในเว็บไซต์ของรัฐบาลอังกฤษเพื่อคัดค้านคำสั่งปิดรัฐสภาดังกล่าวมากกว่า 1 ล้านคนภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงแรกที่เปิดให้ชาวอังกฤษทำการลงชื่อได้ ท่ามกลางเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.22 ดอลลาร์ต่อปอนด์ เทียบกับ ดอลลาร์ในช่วงก่อนลงประชามติวันที่ 23 มิถุนายน 2016 ที่ระดีบ 1.42 ดอลลาร์ เป็นการอ่อนค่าลงกว่า 16%
ในขณะที่รัฐมนตรีของ EU ได้เรียกร้องให้อังกฤษหลีกเลี่ยงการแยกตัวออกแบบไร้ข้อตกลง Brexit พร้อมกับเตือนว่า การดำเนินการของบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่สั่งขยายเวลาปิดสมัยประชุมสภาออกไปจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะสร้างความวุ่นวายมากขึ้น
หลังจากที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งตัวลงหนักอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลแนวโน้มต่อสงครามการค้าและแนวโน้มการเกิดขึ้นของ Inverted Yield รอบที่ 2 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นจากอัตราผลตอบแทนบอน์ด็รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีแตะระดับ 1.447% ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนบอน์ด็รัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ 2 ปี ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.565%
Inverted Yield รอบนี้ได้เกิดขึ้นพร้อมกับอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐระยะยาวายุ 30 ปีที่แตะระดับต่ำสุดที่ 1.91% ร่วงลงต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนบอน์ด็รัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ 3 เดือนที่ระดับ 1.95% อีกด้วย เนื่องจากความกังวลในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะส่งผลทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และการชะลอตัวของจีน ซึ่งวกกลับมากระทบต่อเศรษฐกิจโลกถดถอยไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นวอลล์สตรีทได้พุ่งขึ้นในวันพฤหัสฯ นำโดยดาวโจนส์ปิดที่ 26,362 พุ่งขึ้น 326.15 จุด หรือ 1.25% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,924 พุุ่งขึ้น 1.27% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,973 พุ่งขึ้น 1.48% ซึ่งขานรับข่าวการที่ผู้นำสหรัฐิกมาทวีตช้อความที่ระบุว่าผู้นำจีนยอมที่จะเปิดทางให้เกิดการเจรจาการค้ารอบใหม่
ก่อนที่มาตรการตั้งกำแพงภาษีจะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 กันยายน และวันที่ 1 ตุลาคม รวมถึงวันที่ 15 ธันวาคม โดยมีมูลค่าการค้าของทั้งสหรัฐและจีนที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันเป็นจำนวนรวมกันถึง 625,000 ล้านดอลลาร์
แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าว ยังคงถูกจับตา Timeline การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งสงครามค่าเงินในเดือนกันยายนจะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตอบตกลงที่จะให้มีการเจรจาการค้ารอบใหม่เกิดขึ้นอีกครั้งในวันนี้ และกำหนดระยะเวลา (Timeline) การเจรจา
โดยตลาดคาดการณ์ว่าการเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่นี้อาจไม่ใช่บทสรุปของข้อตกลงการค้าทั้งหมด แต่ก็น่าจะส่งผลให้มีข้อตกลงเกี่ยวกับทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่องของ Huawei ซึ่งรัฐบาลจีนเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกการขึ้นบัญชีดำต่อบริษัทเทตโนโลยีดังกล่าว
สัญญาณบวกที่มีขึ้นจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรอบใหม่ ส่งผลให้ตลาดหุ้นวิลล์สตรีทกลับมาพุ่งขึ้น รวมทั้งบรรยากาศตลาดหุ้นเอเชียก็เริ่มกระเตื้องขึ้นเช่นกันในวันศุกร์ ถึงแม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่า สงครามค่าเงินอาจจะเป็นอีกวาระหนึ่งของการประชุมเจรจาในเดือนกันยายน
เนื่องจากสหรัฐต้องการให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเทียบกับเงินหยวนที่ถูกกดดันให้แข็งค่าขึ้น เพื่อให้เกิดการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้น หลังจากที่เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในเดือนสิงหาคมเดือนเดียวถึง 4% แตะระดับ 7.16 หยวนต่อดอลลาร์ เฉียดเช้าใกล้ระดับ 7.20 หยวนต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยกว่า สหรัฐกำลังพิจารณาที่จะออกบอนด์รัฐบาลที่มีอายุยาวกว่าในปัจจุบันที่มีอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นบอนด์ที่มีระยะยาวที่สุดของสหรัฐทั้งนี้ โดยอาจจะออกบอนด์รัฐบาลอายุ 50 ปี หรือ 100 ปี ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้เคยมีการเสนอขึ้นเมื่อปี 2009 มาแล้ว
รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ปฏิเสธว่า แนวคิดในการออกบอนด์ระยะยาวมากขึ้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดิ่งลงของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลที่เกิดภาวพ Inverted Yield จากความกลัวที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐขณะนี้
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผย GDP ในไตรมาส 2 ปี 2019 อยู่ที่ระดับ 2.0% หลังจากที่ขยายตัว 3.1% ในไตรมาสแรก และขยายตัว 2.6% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ [/restrict]