คงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นกระแสหลักหรือกลุ่ม Megatrend สามารถตอบโจทย์นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาได้ดีกว่าตลาดหุ้นหรือตลาดสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆโดยรวม หรือการที่กลุ่ม Megatrend ได้รับผลกระทบในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดากลุ่มที่เป็น Megatrend เอง ก็มีกลุ่มธุรกิจหนึ่งที่กำลังฉายแววว่าเป็นพระเอกในช่วงหลายทศวรรษต่อจากนี้ นั่นคือ บริษัทในกลุ่ม Biotechnology ซึ่งเป็นบริษัทผู้คิดค้นหรือผลิตนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่ผสมผสานกับการประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาตร์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มประสิทธิภาพ ด้านการทำงานและการอำนวยความสะดวกต่างๆในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่ Biotechnology ด้านที่เป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลกที่สุดคือ Biotechnology ด้านการแพทย์ และการรักษาพยาบาล จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ ในสหรัฐฯ มีจำนวนประชาชนที่อายุมากกว่า 65 ปี ราว 39 ล้านคนในปี 2010 และจะเพิ่มขึ้นเป็นถึงราว 74 ล้านคน ในปี 2030 หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว 10,000 คนต่อวัน และโรคร้ายใหม่ๆที่เกิดขึ้นอย่าง Covid-19 ต้องใช้ยาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการรักษา
ตัวอย่างของบริษัทในกลุ่ม Biotechnology ที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นและผลิตตัวยาที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลมีอยู่มากมาย อาทิ บริษัท Merck ซึ่งเป็นบริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ผู้ผลิตและพัฒนาตัวยา Pembrolizumab หรือ Keyruda ซึ่งเป็นตัวยาที่ช่วยในการยับยั้งกลไกสำคัญที่มะเร็งใช้ในการหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และจากการวิจัยพบว่า หากมีการใช้ตัวยา Keyruda ไปพร้อมๆกับการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด (Chemotherapy) จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดมากถึง 51% จากการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด อีกทั้งในปัจจุบันมีการรักษาแบบใหม่ด้วยวิธียีนบำบัด (Gene Therapy) หรือการนำดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์เพื่อใช้เป็นยาชนิดหนึ่งที่ไปแก้ไขผลกระทบของยีนกลายพันธุ์ภายในร่างกาย ออกฤทธิ์โดยตรงและแม่นยำต่อตำแหน่งที่เกิดการกลายพันธุ์ ทำให้เกิดผลในรักษาโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น และจากการศึกษาพบว่า การรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงด้วยวิธีการยีนบำบัด (Gene Therapy) สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้เป็น 100% จากเดิมที่ผู้ป่วยรอดชีวิตเพียง 8% เท่านั้น ซึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นตัวยา หรือได้รับการอนุมัติจาก FDA ราคาหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บริษัท China Health Group หลังจากคิดค้นยาต้าน COVID-19 ได้สำเร็จ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ในระยะเวลาเพียง 3 วัน นอกจากนั้นในปี 2017 บริษัท AbbVie ได้รับการอนุมัติตัวยา Mavyret จาก FDA ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวยาที่สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีทั้ง 6 สายพันธุ์ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท AbbVie ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 60% ใน 6 เดือน ซึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการรักษาโรคแบบเดิมๆไปตลอดกาล สะท้อนจากแนวโน้มสัดส่วนยอดขายยาทั่วไปแบบดั้งเดิมที่ลดลงเปรียบเทียบกับยาที่มีการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (ฺBiotechnology) ในการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาทั่วโลก โดยจากปี 2010 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 68% ต่อ 32% แต่ในช่วงปี 2017 สัดส่วนของยาทั้ง 2 แบบ อยู่ใกล้เคียงกันที่ 51% ต่อ 49% และคาดว่าในปี 2024 สัดส่วนยอดขายยาที่มีการใช้เทคโนโลยชีวภาพจะสูงกว่ายาทั่วไปแบบดั้งเดิม ตามที่แสดงในรูปที่ 1
รูปที่1: กราฟแสดงแนวโน้มยอดขายยาทั่วไปแบบดั้งเดิมกับยาที่มีการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการพัฒนาการรักษาทั่วโลกในปี ค.ศ. 2010 – 2024
Source: EvaluatePharma*WorldPreview2018,Outlook to 2024
ด้านของราคาหุ้นในปัจจุบันดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ซื้อ-ขาย อยู่ที่ระดับ Fwd P/E Ratio ที่ 18.92 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่แพงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ประมาณ 15 เท่า หรือคิดเป็น +1.9 SD แต่หุ้นกลุ่ม Biotechnology อ้างอิงจากดัชนี S&P 500 Biotechnology Index กลับซื้อ-ขาย อยู่ที่ระดับ Fwd P/E Ratio 12.04 เท่า หรือคิดเป็น -0.7 SD เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหากเราพิจารณาเชิงเปรียบเทียบระหว่างดัชนีทั้ง 2 จะพบว่า หุ้นกลุ่ม Biotechnology ซื้อ-ขาย อยู่ในระดับที่ถูก (Discount) ที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ดังแสดงในรูปที่ 2
รูปที่ 2: รูปภาพแสดงการเปรียบเทียบ ระดับ Fwd P/E Ratio ของดัชนี S&P 500 และ S&P 500 Biotechnology Index ของสหรัฐฯ ในช่วงปี 2010 จนถึงปัจจุบัน
Source: TISCO ESU (as of 19 Feb 2020)
จะเห็นได้ว่าบริษัทในกลุ่ม Biotechnology ยังสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต ตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น บวกกับการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคชนิดต่างๆ ทำให้ตัวยาที่มีการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลเป็นคำตอบในการรักษาโรคใหม่ๆในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งราคาหุ้นกลุ่ม Biotechnology ในปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับที่ถูกที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้การลงทุนใน Megatrend โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Biotechnology จะสามารถรับมือกับสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจและสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างงดงาม