นักลงทุนจับตามองประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แจ็กสัน โฮลในวันศุกร์นี้ ส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอยหรือไม่
ทั้งนี้ ตลาดการเงินทั่วโลกยังจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ต่อการสุนทรพจน์ในระหว่างประชุมสัมมนาเศรษฐกิจสหรัฐประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในรัฐไวโอมิ่ง ช่วงวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้ ภายใต้หัวข้อ ความท้าทายสำหรับนโยบายการเงิน หรือ Challenges for Monetary Policy
ขณะที่นักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ว่า ประธานเฟดอาจใช้เวทีการประชุมเศรษฐกิจประจำปีครั้งนี้ เพื่อส่งสัญญาณถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ด้วย
[restrict]โดยที่เฟดจะมีการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกันยายน เพื่อพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระดับ 0.25% หรือ 0.5% หลังจากที่นักลงทุนในตลาดการเงินเกิดความกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
หลังจากที่การประชุมเฟดครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30-31 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.0-2.25% แต่กลับไม่ที่น่าพอใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นและตลาดที่ผันผวนอย่างรุนแรง
นอกจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ดิ่งลงอย่างหนักมากกว่า 5% ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม ก่อนที่จะมีการปรับตัวดีขึ้นสัปดาหฺที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลที่มีต่อทิศทางของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่เกิดภาวะ Inverted Yield เมื่อวันพุธที่แล้ว โดยเฉพาะการที่อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นบอนด์ระยะยาวนั้น ปรับลดลงต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีที่เป็นบอนด์ระยะสั้น
เนื่องจากอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงที่ระดับ 1.52-1.55% ส่วนอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีอย่ที่ระดับ 1,56% รวมถึงอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐระยะยาวอายุ 30 ปี ดิ่งตัวลงหลุดระดับ 2% ลงมาแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.972% ล้วนเป็นสัญญาณสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยเหมือนกับช่วงปี 2005 จนนำมาสู่วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินในปี 2007
ส่งผลให้นักวิเคราะห์มองว่า เฟดอาจจะต้องปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือจนถึงปลายปีนี้ ลงถึงระดับ 1.25-1.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.0-2.25% พร้อมๆกับการนำเอานโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE กลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่ตัดสินใจเลิกนโยบายดูดซับ QE กลับคืนเดือนละ 50,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนครบกำหนด 2 เดือนโดยจะมีผลในเดือนสิงหาคมนี้
ทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาระบุ โดยไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงอย่างที่มีนัยสำคัญว่าจะเกิดภาวะถดถอย รวมถึงตลาดบอนด์ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างผันผวน แม้แต่ข้อพิพาททางการค้ากับจีนจะไม่สร้างความเสียหายต่อสหรัฐ โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังไปได้ดี เนื่องจากประชาชนมีเงินเพราะแรงหนุนของนโยบายการลดภาษีของรัฐบาล
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า ถึงแม้จะเชื่อว่ารัฐบาลจีนพร้อมแล้วดับการทำข้อตกลงทางการค้า แต่ตนยังไม่พร้อมที่จะทำข้อตกลงในขณะนี้ เนื่องจากสหรัฐอยากให้จีนจัดการเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบในฮ่องกงเสียก่อนอย่างมีมนุษยธรรม ซึ่งหากจีนทำได้ก็จะดีต่อการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
ส่วนแลร์รี่ คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ยืนยันว่า ตัวแทนการค้าจากทั้งสหรัฐและจีนจะมีการหารือกันอีกใน 10 วันข้างหน้า ซึ่งหากการเจรจาดังกล่าวเป็นไปได้ด้วยดี ก็จะเชิญทางฝ่ายจีนมาเพื่อเจรจาหาข้อสรุปให้ได้[/restrict]