HomeOpinionsเรื่องของ ‘เหตุผล’ และ ‘คนส่วนใหญ่’

เรื่องของ ‘เหตุผล’ และ ‘คนส่วนใหญ่’

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ล้วนมี “เหตุ” และ “ผล” แม้แต่เรื่องลี้ลับดำมืด หรือเป็นเรื่องราวที่เราบอกกันว่า “หาคำอธิบายไม่ได้” แต่ถึงอย่างไรก็มีเหตุของผลนั้นอยู่ดี เพียงแค่เรายังหาคำตอบของเหตุไม่พบเท่านั้นเอง

ในอดีต ยุคที่ผู้คนยังด้อยการศึกษา เราพบว่า มีเรื่องราวที่เป็นปริศนาหรือหาคำตอบไม่ได้เต็มไปหมด ซึ่งต่อมาแต่ละเรื่องก็ถูกคลี่คลายลงได้ด้วย “องค์ความรู้”

เราเพิ่งรู้และเชื่ออย่างไร้ข้อโต้แย้ง ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นทรงกลม ไม่ใช่ทรงแบน ก็เมื่อไม่กี่พันปีมานี้เอง (และก็ไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่รู้ว่าโลกกลม มีคนจำนวนไม่น้อยในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ที่ยังคิดว่าโลกแบนอยู่เลย)

- Advertisement -

ถ้าอธิบายด้วยหลักของเหตุและผล คนที่บอกว่าโลกแบนก็จะให้เหตุผลง่ายๆ ว่า คนเราไม่สามารถทรงตัวหรือดำรงชีวิตบนวัตถุทรงกลมได้ เมื่อผลคือคนยืน เดิน วิ่ง บนโลกได้ เหตุก็คือ เพราะโลกแบน ดังนั้น ผู้ที่บอกว่าโลกกลมก็ต้องไปหาคำตอบมาแก้ต่างให้ได้ จนได้ค้นพบเรื่องแรงดึงดูดของโลก

ที่ผมยกตัวอย่างมายืดยาว ก็เพื่อจะตอกย้ำว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ล้วนมีเหตุและผล เพียงแค่ว่าเราหาคำตอบกันเจอหรือยังเท่านั้น และที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ คำตอบของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน 

ถ้าทุกคนมีคำตอบเหมือนกัน รู้เท่ากัน เวลาเราทำบททดสอบต่างๆ ก็ต้องได้คะแนนไม่แตกต่างกัน ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเรายังสามารถคัดแยกได้ว่าใครเรียนเก่งเรียนไม่เก่ง ใครตอบถูกตอบผิด ใครรู้ใครไม่รู้


ในเรื่องของเศรษฐกิจการลงทุนก็เช่นกันครับ 

แม้เราสามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมหุ้นจึงควรจะขึ้น หรือควรจะลง เช่น เหตุจากเศรษฐกิจแย่ กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง ผลคือหุ้นควรจะตก หรือ เหตุจากดอกเบี้ยลด เงินไหลออกจากตลาดเงินไปสู่ตลาดทุน ผลคือหุ้นควรจะขึ้น แต่ในสภาพของความเป็นจริง  ราคาหุ้นอาจไม่ได้มีทิศทางแบบที่เราคิด เพราะตัวเราไม่ได้เป็นคนเดียวที่ซื้อหรือขายหุ้นนั้น  ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เขาเข้ามาซื้อหรือขาย ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ดังนั้น ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการขึ้นลงของหุ้น คือ “คนอื่นเขาคิดและเชื่ออย่างไร”

ถ้าเรายึดเฉพาะองค์ความรู้ของเรา มั่นใจในทฤษฎีที่ร่ำเรียนมาว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตัดสินใจทำลงไปโดยไม่สนใจมุมมองของคนอื่น โอกาสผิดพลาดจะมีสูงมาก โดยเฉพาะการผิดจังหวะ ผิดเวลา เพราะแม้ทางทฤษฎีแล้ว เหตุแบบนั้น ผลควรจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้า ณ เวลานั้นคนส่วนใหญ่เขาคิดตรงกันข้าม ทำตรงกันข้ามกับที่เราคิด การเปลี่ยนแปลงในตลาดระยะสั้นก็ย่อมตรงข้ามกับที่เราคิด นั่นคือ การพลาดโอกาส หรือจังหวะที่สำคัญ

เช่น เราคิดว่าหุ้นต้องลงแน่ๆ เพราะเศรษฐกิจแย่ เลยขายหุ้นเกือบเกลี้ยงพอร์ต ในขณะที่คนอื่นเขาคิดว่า ดอกเบี้ยจะลด หุ้นต้องขึ้นแน่ๆ เขาก็แห่ซื้อกันใหญ่ ก็กลายเป็นว่าคนที่ขายกลายเป็น “ขายหมู”

หรือในกรณีที่ราคาหุ้นบางตัว ราคาลดลงมามากเพราะประกาศผลการดำเนินงานออกมาแย่ แต่เรารู้ว่าเป็นการแย่แค่ชั่วคราว ในไตรมาสต่อไปกำไรจะดีขึ้น ราคาหุ้นปัจจุบันจึงลดลงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน เราก็เข้าซื้อทันที ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังมีอารมณ์ค้างกับผลงานที่แย่เกินกว่าคาด และเทขายหุ้นนั้นอยู่เลย แบบนี้ก็ทำให้คนเข้าซื้อได้ต้นทุนที่สูงเกินจริง แทนที่จะซื้อได้ราคาถูกกว่านั้น

“เหตุ” และ “ผล” สำคัญที่สุดของการขึ้นลงของราคาหุ้น จึงไม่ใช่เหตุผลทางทฤษฎี แต่เป็นเหตุผลแบบกำปั้นทุบดิน คือ “หุ้นไม่ลงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ขาย” และ “หุ้นไม่ขึ้นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ” หรือ “หุ้นขึ้นเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เข้าซื้อเพราะเชื่อว่ามันจะขึ้นต่อ” และ “หุ้นลงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ขายเพราะคิดว่ามันจะลงต่อ”

ถ้านักลงทุนเข้าใจใน ประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง ผมเชื่อว่าจะมีความสุขกับการลงทุนในหุ้นขึ้นอีกมากเลยครับ

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News