เข้าร่วมรัฐบาลได้ไม่ทันไร”สปอร์ตไลท์”ทุกดวงก็ฉายไปยัง”ภูมิใจไทย “ของ”เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกุล การเคลื่อนไหวหลายๆเรื่องดูจะเข้าตากรรมการ ล่าสุดก็เรื่อง”ยกเลิก 3 สารเคมีพิษ”อันประกอบไปด้วยพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ที่ยังถกเถียงกันไม่จบกลายเป็นปัญหาการเมืองขึ้นมาจนได้
เฉพาะอย่างยิ่ง”เสี่ยหนู”ในฐานะรัฐมนตรีสาธารณสุขออกมาเล่นบทตีกินแบบเนื้อๆทั้งที่ในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยก็ไม่มีนโยบายแบนสารพิษ แถมยังเล่นบท”หัวร้อน”เมื่อประกาศว่า
”รัฐมนตรีของ พรรคภูมิใจไทย พร้อมลาออกทั้งคณะ หากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นคณะกรรมการวัตถุอันตราย โหวตสวนนโยบายพรรค หันไปสนับสนุนให้ใช้สารพิษทางการเกษตร”
สำหรับคณะกรรมการวัตถุอันตราย ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ประกอบด้วย
1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากกระทรวงต่าง 17คนและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 8คนมีอธิบดีกรมโรงงงานอุตสาหกรรมเป็นเลขานุการ
2.กม.นี้บัญญัติไว้แปลกๆ กำหนดผู้รักษาการ กม. ทั้งฉบับ คือ รมต.อุตสาหกรรม ปัจจุบัน คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคพลังประชารัฐ ) แล้วยังมีการแต่งตั้ง ผู้รักษาการสารพิษ แต่ละชนิดอีก ว่าจะตั้งใครดำรงตำแหน่ง ในกรณี สารเคมีการเกษตร 3 ชนิด ผู้รักษาการสารเคมี คือ รมต.เกษตร ปัจจุบัน คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
จากโครงสร้างกรรมการจะเห็นกระทรวงสาธารณะสุขที่”เสี่ยหนู”ดูแล มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น้อยมาก คือ มีผู้แทนโดยตำแหน่งที่ส่งไปเป็นกรรมการ อยู่ใน คณะกรรมการวัตถุอันตราย 2 คน จากกรรมการทั้งหมด 26 คน อีกทั้ง กม.ก็ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นของ กระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนการดูแลสารเคมีการเกษตร ผู้รักษาการ ก็คือ รมต.เกษตร
การเล่นบทบาทอย่างนี้มันก็มองได้หลายด้าน ด้านหนึ่งก็ต้องมีคนใจถึงพึ่งได้กล้าเล่นอย่าง”เสี่ยหนู” แต่ในทางการเมืองอาจจะถือว่า”ล้ำเส้น” “รมต.พรรคร่วม คือ พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเต็มๆ
วงในลึกๆบอกว่า”เสี่ยต่อ”เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรไม่ค่อยแฮปปี้กับบทบาทตีกินของ”เสี่ยหนู”เท่าไหร่เพราะกังวลว่าเลิกสารพิษ 3ตัวนี้แล้วอาจทำให้สารตัวใหม่ที่จะมาทดแทนราคาจะแพงขึ้นจนเป็นภาระเกษตรกรหรือไม่ และอาจจะกลายเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใหม่
ที่สำคัญคนที่จะรับมือม็อบอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มัน สำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ดอกไม้ผล ที่คัดค้านการแบนสารพิษทั้ง3ตัวตั้งแต่แรกหนีไม่พ้น”เสี่ยต่อ”นั่นเอง
เหตุผลของเกษตรกรกลุ่มนี้ที่เห็นว่าควรจะคงไว้ก่อนที่จะแบนเนื่องจากยังมีความจำเป็นเพื่อกำจัดศัตรูพืช กำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ กำจัดหนอน ยิ่งการทำไร่เป็นร้อยๆไร่พันไร่จะใช้แรงงานคนตัดหญ้าต้นทุนเพิ่มขึ้นแน่ๆ
อันที่จริง”เสี่ยต่อ”ก็ประกาศชัดว่าเห็นด้วยกับการแบน3สารพิษแต่ในฐานะที่เป็นเกษตรกรมาก่อนจึงต้องฟังเสียงชาวไร่ที่เดือดร้อนบ้างเท่านั้น
น่าสังเกตว่ากระทรวงอุตสาหกรรมของ”สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”กลับนิ่งเงียบว่ากันว่า ข้อมูลที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีอยู่ในมือ เห็นว่าสารพิษอันตรายจริงๆมีแค่ “คลอร์ไพริฟอส”ตัวเดียว ส่วนอีก2ตัวไม่มีปัญหาอะไรแต่ด้วยกระแสคัดค้านค่อนแรงแนวโน้มคงยกมือสนับสนุนการเลิกใช้สารพิษทั้ง3ตัวแน่นอน
ขณะที่คนในแวดวงรัฐบาลเล่าว่า ปัญหาที่คาราคาซังส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า งานนี้”พ่อค้าตัวจริง”นิ่งเงียบไม่มีข่าวออกมาคัดค้านแต่มี”ไอ้โม่ง”เล่นบทพ่อค้าจำเป็นเล่นใต้ดินแทน
ว่ากันว่าพ่อค้าจำเป็นคนนี้ อดีตนั้นเคยเป็นผู้มีบารมีที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรและใกล้ชิดกับอำนาจ ช่วงสามสี่ปีก่อนพ่อค้าจำเป็นคนนี้ตุนสารเคมีทั้ง3ตัวนี้ฟันกำไรหากแบนสำเร็จจะขาดทุนนับพันล้านจึงใช้วิธีโทรศัพท์ไปขู่คณะกรรมการบางคน ทำเกิดความเกรงใจต้องยกมือคัดค้าน ทำให้การยกเลิกไม่คืบหน้าอย่างที่เห็น
คงต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการวัตถุมีพิษในฐานะผู้ชี้ขาด3สาร อันตราย 27 ต.ค.นี้ ชนิดกระพริบตาไม่ได้เด็ดขาดแต่ที่เล่านี่ ไม่เกี่ยวกับว่า สารเคมีเกษตร ดีหรือไม่ดี แค่อยากจะเล่าเรื่องที่อยากเล่าเท่านั้นเอง