มูลค่าหุ้น Big Tech สหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่มูลค่าหุ้น Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ทะยานสู่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าหุ้น Apple, Midrosoft และ Amazon ที่อ่อนตัวลงเล็กน้อยในระดับใกล้เคียงกันที่ 930,000 ล้านดอลลาร์
ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทที่ขยายตัวเข้าสู่ภาวะฟองสบู่มากขี้น โดยเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นนั้นมาจากการอัดฉีดเม็ดเงิน QE (Quantitative Easing) ระลอกใหม่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นจำนวน 400,000-500,000 ล้านดอลลาร์
จนกระทั่งฐานะงบดุลของเฟดพุ่งทะลุสู่ระดับ 4.15 ล้านดอลลาร์ขณะนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.76 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 เทียบกับระดับสูงสุดที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ช่วงปี 2015
ล่าสุด มีรายงานว่า เฟดจะยังคงอัดฉีดเม็ดเงิน QE เข้าสู่ตลาดหุ้น และบอนด์ พร้อมเตรียมการให้กู้ยืมโดยตรงกับกองทุนเฮดจ์ฟ้นด์ หรือกองทุนเก็งกำไรขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับ 20,000-30,000 ล้านดอลลาร์
จากเม็ดเงินที่ออกมาจากเฟด จะช่วยต่อยอดทางการเงินให้กับเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งสามารถเพิ่มสภาพคล่อง ด้วยการขยายปริมาณการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ได้ถึง 200,000 ล้านดอลลาร์
สำหรับ Google ได้กลายมาเป็นบริษัทที่ 4 ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ ที่มีมูลค่าหุ้นพุ่งแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ตามหลัง Apple, Microsoft และ Amazon.
ราคาหุ้น Google ได้ไต่ขึ้นแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ปิดที่ 1,450.16 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสฯพุ้งขึ้นถึง 33% ในปีที่แล้ว ขณะที่มูลค่าหุ้น Apple ทะยานสูงสุด 103% ส่วนทางด้านมูลค่าหุ้น Microsoft และ Facebook พุ่งขึ้นมากกว่า 50%.
ทั้งนี้ มูลค่าหุ้น Google พุ่งแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่มูลค่าหุ้นแต่ละบริษัททั้ง Apple, Microsoft และ Amazon ร่วงลงสู่ระดับ 930,000 ล้าดอลลาร์
แต่ถ้านับรวมมูลค่าหุ้นของ Facebook ที่อยู่ลำดับ 5 เข้ามารวมด้วยแล้วมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีiขนาดใหญ่จะพุ่งขึ้นเป็น 5.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 17% ของดัชนีหุ้น S&P 500 เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมึมูลค่าเพียงแค่ 2 ใน 3หรือเท่ากับ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2015
โดยสถานการณ์การลงทุนดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีหุ้น S&P 500 พุ่งทะยานขึ้น 9% นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภานการณ์ที่ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมทั้งปัญหาของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังคงต้องมีการเจรจาในเฟสที่ 2 ซึ่งคาดว่าsจะมีบทสรุปที่สมบูรณ์ในอีก 10 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงต้องจับตาทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดที่จะมีการประชุมนัดแรกของปี 2020 ในช่วงวันที่ 28-29 มกราคมนี้ที่มีความเป็นไปได้ต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยและการผ้อนคลายรโยบายการเงินเชิงปริมาณหรือ QE จะยังคงประบประคองการลงทุนในอนาคตของตลาดหุ้นและตลาดบอนด์สหรัฐอย่างไร
ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุด จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ระบุถึงสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มขยายตัว 2.5% ในปี 2020 จากผลกระทบของความตึงเครียดของสงครามการค้า ความผันผวนในตลาดการเงิน ปัญหาความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงกว้างขวางมากขึ้น
รายงานของ UN ยังชี้อีกว่า GDP สหรัฐจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.7% ในปีนี้ เทียบกับปี 2019 อยู่ที่ระดับ 2.2% เนื่องจากการเมืองในสหรัฐยังคงไม่แน่นอน รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมีความอ่อนแอลง ขณะที่การใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นแผ่วลง