ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีเรื่องให้ต้องตื้นเต้นเมื่อโดน Circuit Breaker เพราะ -10% ใน 2วันทำการติดๆกัน เป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนโดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่โดนพักการซื้อขาย Circuit Breakerเพียงแค่นาทีแรกที่เปิดตลาด เท่ากับว่า2วันทำการ ตลาดหุ้นไทย -20%
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตลาดหุ้นบ้านเรา เพื่อนบ้านในอาเซียนเช่นตลาดหุ้นอินโดนีเซียในวันศุกร์ก็มี” Circuit Breaker”สหรัฐอเมริกาก็เกิดขึ้นเช่นกัน ปัจจัยก็มาจากวิกฤตไวรัสโควิด -19ที่กำลังหลอนคนไทย แถมยังมาเจอ”วิกฤติน้ำมัน”ซ้ำเติมในช่วงต้นสัปดาห์ทำให้ ราคาน้ำมันตลาดโลก ดิ่งหลุดระดับ 30 ดอลลาร์ / บาร์เรลต่ำสุดในรอบหลายๆปี ทั้งสองปัจจัยถล่มตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีอาการเหมาหมัด จนดัชนีหุ้นไหลรูดลงถึง 500 จุด
วิกฤติตลาดหุ้นเที่ยวนี้ ”ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ต้องก้นร้อนสั่งให้ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ไปหาแนวทางตั้ง”กองทุนพยุงหุ้น” เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบนักลงทุนโดยเร่งด่วน แต่สิ่งที่นักลงทุนเฝ้าติดตามอยู่คือ กองทุนพยุงหุ้นที่กำลังจะตั้งขึ้น จะมีวงเงินเท่าไหร่ แหล่งที่มาของเงินได้จากไหน
การออกมาตรการตั้งกองทุนพยุงหุ้น หากจะให้ได้ผลจริงๆ ต้องเป็นกองทุนขนาดใหญ่มากทีเดียว จึงเพียงพอที่จะพยุงราคาหุ้นได้ ในอดีตก็เคยจัดตั้งมาแล้วในช่วงปี 2540 คราววิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งกระทรวงคลังได้ตั้ง”กองทุนวายุภักดิ์ “เข้ามาพยุงตลาดหุ้นซึ่งขณะนั้นกองทุนดังกล่าวมีเม็ดเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ก็ไม่ได้ผล
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 จะเห็นว่ามูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยตอนนั้น ประมาณ 1.13 ล้านล้านบาท ขณะที่ในปัจจุบันนี้ มูลค่าประมาณ 14.42 ล้านล้านบาท โตขึ้นจากเดิมถึง 12.76 เท่า ลองคิดดูว่ากองทุนพยุงหุ้นที่จะตั้งขึ้นจะต้องอัดเม็ดเงินเท่าไหร่จึงจะเอาอยู่
สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากหากเข้าไปพยุงหุ้นอาจจะถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชนไปอุ้มนายทุน อุ้มคนรวย เพราะทุกวันนี้ นักลงทุนที่ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ มีทั้งคนที่เก็งกำไร และคนที่ต้องการลงทุนจริงๆ มีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ และบริษัทจดทะเบียนจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังมี เจ้าของตัวจริง ที่มีสัดส่วนในการถือหุ้นของตัวเองค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นเองจริง ๆ ด้วยชื่อของตัวเอง หรือมี ตัวแทน”หุ่นเชิด”ในการถือหุ้นก็ตาม
ที่สำคัญที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าไม่มีรัฐบาลใดๆ ในโลกสามารถอุ้มตลาดหุ้นได้ และการอุ้มก็ไม่เคยสร้างความเชื่อมั่นได้ หรือถ้าจะได้จริงก็จะต้องใช้เงินมหาศาลซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะเลือกลงทุนและรู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยงสูง ราคาหุ้นจะขึ้นๆลงๆค่อนข้างมาก ตามสถานการณ์โลกทุกวันนี้ คนลงทุนในหุ้นก็ได้อภิสิทธิ์มากมายจนแทบสำลักอยู่แล้ว
หากรัฐบาลจะ”ตั้งกองทุนพยุงหุ้น”น่าจะตั้ง”กองทุนพยุงธุรกิจท่องเที่ยว”และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยว หรือคนรับจ้างอิสระที่ทำมาหากินในธุรกิจนี้จะเป็นประโยช์กว่า ทุกวันนี้ธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักแทบหมดเนื้อหมดตัว วิ่งขายโรงแรม รีสอร์ต กันตีนขวิด เริ่มมีปิดตัวพนักงานทะยอยตกงานกันแล้ว
อย่าลืมว่าธุรกิจท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศสัดส่วน 12%ของจีดีพี.จ้างงานให้คนมีงานทำไม่น้อยเกือบๆ20ล้านคนหรืออาจตั้งกองทุนอุ้มผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจค้าขายกับประเทศจีนซึ่งเสียหายจากโรคระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะบรรดาธุรกิจเอสเอ็มอี.ซึ่งมีอยู่จำนวนมากน่าจะดีกว่า
หรือจะเอาเงินนี้ไปช่วยให้ประชาชนใช้บริการตรวจโรคโควิด-19ในโรงพยาบาลรัฐ เอกชนฟรีซึ่งทุกวันนี้มีค่าตรวจแพงมหาโหด ยังดีกว่าเอาไปพยุงตลาดหุ้นเป็นไหนๆ