เป็นที่รู้ๆกันทั่วไปว่าเวียดนามพยามจะหาทางขึ้นทาบไทยทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องกีฬาวันนี้กีฬาบางประเภทแซงหน้าไทยไปแล้วราวๆ10กว่าปีที่แล้ว”ทีมนักวิ่งใต้ฝุ่นไทย”ครองเจ้าความเร็วอาเซียนตอนนี้โดนเวียดนามแซงเรียบร้อย ในอดีตฟุตบอลไทยทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ ที่เคยปิดประตูแพ้เวียดนามมาตลอดแต่ปีสองปีมานี้ ไทยทำได้ดีที่สุดก็แค่เสมอเท่านั้น
เรื่องเศรษฐกิจตอนแรกเวียดนามวิ่งตามไทยห่างๆแต่ตอนนี้หายใจรดต้นคอแล้ว ราวๆ2ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามสูงสุดในอาเซียนอยู่ระดับ7%กว่า ๆโดยเฉลี่ยขณะที่ผ่านมาไทยยังกินบุญเก่าอัตราการเติบโตอยู่ระดับ3%โดยเฉลี่ย เศรษฐกิจไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาตลอดเกือบ2ทศวรรษปีที่บางปีก็มีติดลบ
[restrict]ล่าสุดเมื่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) ได้เผยแพร่ ผลการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันโลกปี 2562 ปรากฏว่า ปีนี้อันดับประเทศไทยร่วงลง 2อันดับ จาก อันดับที่ 38 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่ อันดับที่ 40 จาก 141 ประเทศทั่วโลก โชคดีที่ได้คะแนนดีขึ้นนิดหน่อยจาก 67.5 เป็น 68.1 สวนทางเวียดนาม ที่คะแนนพุ่งกระฉูดเพิ่มพรวดเดียว 35 คะแนน อันดับการแข่งขันทะยานขึ้นทันที 10 อันดับ จากอันดับที่ 77 ปีที่แล้วขึ้นไปอยู่อันดับที่ 67 ในปีนี้
มีรายงานจากแหล่งที่น่าเชื่อถือระบุว่าตั้งแต่ ปี 2548-2561 รายได้ประชาชาติก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเทียบเป็นสัดส่วน จากระดับ 43%ของไทยเป็น 55% สะท้อนว่าเวียดนามเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าไทย
ปัจจุบันจำนวน”คนจน”ระหว่างไทยกับเวียดนามอยู่ที่ 8%เท่ากันจากที่แต่เดิมเมื่อ 13 ปีก่อนที่เวียดนามมีคนจนมากถึง 29% เลยทีเดียว ขณะที่การกระจายความเจริญก็ไม่ได้กระจุกอยู่ในกรุงฮานอยหรือนครโฮจิมินห์ซิตี้ได้กระจายไปแทบทุกเมือง ในขณะที่ไทยความเจริญจะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯปริมณฑล และจังหวัดหลักๆ ในภูมิภาคไม่กี่แห่ง
ด้านการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขอเวียดนามก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุน ต่างพากัน”พาเหรด”เข้าไปลงทุนกันขนานใหญ่ มีทั้งนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯโดยเฉพาะเกาหลีบริษัทยักษ์ใหญ่ย้ายฐานการผิตมาอยู่เวียดนามมากที่สุดในขณะที่เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยนั้นได้ถูกเวียดนามแซงไปแล้ว
ยิ่งในช่วงที่เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐระอุ เวียดนามเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุด จะเห็นว่ามีนักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนในจีนได้ย้ายฐานหนีมาลงทุนในเวียดนามมากที่สุดในอาเซียน ก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีได้ย้ายฐานการลงทุนจากไทยไปเวียดนามด้วยเช่นกัน
ความได้เปรียบของเวียดนามที่ถือเป็นจุดแข็งคือ”บุคลากรมีคุณภาพราคาถูก”อัตราค่าแรงงานยังถือว่าถูกกว่าค่าแรงของไทยแต่มีทักษะและขยันขันแข็งในการทำงานมากกว่า ที่สำคัญคนหนุ่มสาวในวัยทำงานของเวียดนามมีมากกว่าคนวัยอื่นๆ ตรงกันข้ามกับไทยที่กำลังเป็นสังคมคนชราคนแก่มากกว่าหนุ่มสาววัยทำงาน
เมื่อแรงงานหนุ่มสาวมีจำนวนมากในอนาคตเมื่อคนกลุ่มนี้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็จะขยับฐานะเป็น”คนชั้นกลาง”ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด นั่นแปลว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะมีกำลังซื้อสูง ตามมา จุดนี้กลายเป็นแรงจูงใจให้คนไปลงทุนมากขึ้น
ผลพวงจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องทำให้Irvin Seah นักเศรษฐศาสตร์ชาวสิงคโปร์ของธนาคาร DSB กล่าวว่า หากรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน เวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่กว่าสิงคโปร์ในอีก 10 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว [/restrict]