ย้อนหลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน หากมีคนกล่าวว่า ”มือถือที่คนส่วนใหญ่บนโลกใช้ จะเปลี่ยนจากมือถือแบบปุ่มกดในรูปแบบเดิมมาเป็นมือถือ Smart Phone” คงจะมีน้อยคนนักที่เชื่อคำพูดนี้ แต่หากในปัจจุบันมีคนกล่าวว่า “ในอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้ารถยนต์ที่แล่นอยู่บนท้องถนนส่วนใหญ่ในโลกจะเปลี่ยนจากรถที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิมมาเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทน” คงจะมีหลายคนที่เห็นด้วยกับคำพูดนี้และไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการมากเกินไปนัก
ในแง่ของการลงทุนการที่คนทั่วโลกหันมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้มือถือมาเป็น Smart Phone นั้น ได้ส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในทุกด้านเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และในแง่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้รถยนต์ก็เช่นเดียวกัน การมาถึงของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่เพียงแต่จะส่งผลให้บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่ยังส่งผลเชื่อมโยงไปถึงบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น บริษัทผลิตแบตเตอรี่ หรือ ผู้ให้บริการสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธีมการลงทุนในพลังงานในรูปแบบใหม่ หรือ “New Energy” ที่เป็นการลงทุนในบริษัทที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานครั้งใหญ่ของโลก!
New Energy ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ต่อจากนี้
อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิมมาใช้พลังงานในรูปแบบ New Energy ที่เป็นพลังงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การเติบโตของการใช้ New Energy จะเป็นไปอย่างแพร่หลายและทั่วทุกมุมโลกต่อจากนี้เป็นเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ปัจจุบันการใช้ New Energy มาทดแทนการใช้พลังงานในรูปแบบเดิมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะสามารถวิ่งได้เป็นระยะทางไกลถึง 700-800 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งภายในปี 2025 และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้นนี่เองจะยิ่งส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตหรือใช้ New Energy ถูกลงกว่าเดิมเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจาก Solar ถูกกว่าต้นทุนการผลิตพลังงานจากถ่านหินแล้ว และด้วยต้นทุนที่ถูกลงนั้น ก็จะยิ่งผลักดันให้ความต้องการใช้งาน New Energy เพิ่มสูงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
รัฐบาลทั่วโลกสนับสนุน New Energy
ถึงแม้ว่าต้นทุนการใช้ New Energy จะถูกลงและความต้องการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หากว่าขาดการสนับสนุนสำคัญจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานครั้งสำคัญของโลกก็คงจะเกิดขึ้นได้ยากอย่างแน่นอน แต่ด้วยสภาวะสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนทำให้มนุษยชาติต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อนแบบในปัจจุบัน รัฐบาลของประเทศสำคัญๆ ทั่วโลกจึงไม่มีทางเลือกอื่น โดยต่างต้องผลักดันนโยบายสนับสนุนการใช้ New Energy อย่างเต็มรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่ต้องเผชิญกับปัญหามลภาวะจากฝุ่น PM 2.5 ก่อนหน้านี้ได้ผลักดันการใช้พลังงาน New Energy อย่างเต็มรูปแบบ เช่นการเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ การสนับสนุนเงินให้กับผู้ซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในจีน โดยถึงแม้ในปี 2021 จะมีการลดอัตราการสนับสนุนเงินลง แต่จำนวนเงินก็ยังสูงถึงคันละ 13,000 หยวน ซึ่งถือเป็นการดึงดูดให้ชาวจีนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในปี 2020 จีนถือเป็นประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในโลกกว่า 1.3 ล้านคัน
ส่วนชาติประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐฯ หลังจากได้ผู้นำคนใหม่คือ นาย Joe Biden ก็ได้ประกาศนโยบายตั้งแต่ในช่วงหาเสียงชัดเจนว่าจะสนับสนุนการใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ที่เป็นผลดีกับสิ่งแวดล้อม โดยเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden ก็ได้ประกาศว่าจะผลักดันให้เปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ในรัฐบาลส่วนกลางของสหรัฐฯ ทุกคันมาเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ New Energy มีอะไรบ้าง
ตัวอย่างของบริษัทที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานครั้งใหญ่ของโลกนั้น นอกจากบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีอย่าง Tesla แล้ว ยังรวมไปถึงบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติจีนอย่าง Nio หรือ Xpeng ที่มียอดขายในจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือบริษัท Blink ที่เป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบัน Blink เปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแล้วทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงบริษัทที่เป็นผู้ผลิตพลังงานและบริษัทผู้ให้บริการในการแปลงพลังงาน New Energy ในรูปแบบต่างๆ มาใช้ได้จริง ตัวอย่างเช่น Solar Edge บริษัทที่ให้บริการและติดตั้งอุปกรณ์ในการช่วยแปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานที่สามารถนำมาใช้ได้จริงทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน หรือ บริษัท Canadian Solar ที่เป็นผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์โดยปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 150 ประเทศทั่วโลกและผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับการใช้งานได้มากถึง 13 ล้านครัวเรือน
โดยสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ New Energy เหล่านี้ สามารถลงทุนได้ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในธีม New Energy ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนแห่งทศวรรษที่นักลงทุนไม่ควรพลาด