ไม่รู้ว่ารัฐบาลหรือประชาชนที่เสพติด”ชิม ช้อปใช้”เพราะแค่6เดือนที่เข้ามาบริหารประเทศรัฐบาลลุงตู่2ก็คลอดมาแล้ว 3 เฟสราวกับโครงการบ้านจัดสรร และล่าสุด”ชิม ช้อป ใช้ เฟส 4”อ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสู้กับไวรัสโคโรนา ซึ่งไม่รู้ว่าจะสู้ไหวหรือไม่
ก่อนที่กระทรวงคลังจะออกชิมช้อปใช้เฟส4 รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาไปไกลถึงขั้นคิดจะออก”ชิมช้อปใช้ อินเตอร์”แจก “คูปองเงินสด” ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในบ้านเรา อ้างว่า เพื่อชดเชยที่ “ค่าเงินบาทแข็งค่า”มากกว่า 10% ทำให้ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยจะใช้เงินที่จากงบประมาณกลางซึ่งเป็นภาษีประชาชน
ทันทีมีไอเดียนี้ออกมา ก็มีเสียงคัดค้านกันกระหึ่มกันทั้งบ้านทั้งเมือง ประกอบกับเกิดโรคไวรัสโคโรนาเสียก่อน เรื่องก็เลยเงียบไป
ล่าสุดกระทรวงคลังที่ยังติดใจ”ชิมช้อปใช้”ก็เลยทำคลอด “ชิมช้อปใช้ เฟส4”หวังจะเอามาเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจสู้กับโรคระบาดไวรัส โคโรนา ที่ฟาดหางใส่ธุรกิจท่องเที่ยวบ้านเรา ทำให้ลูกค้าหายไปกว่า 80 %
ขณะที่ ชิม ช้อป ใช้เฟส 3ทีเพิ่งปิดจ็อบเมื่อสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมามีโกงกันสะบั้น ชาวบ้านบางส่วนโกงเงินกระเป๋า 2 ด้วยการสแกนใช้จ่ายเงินในพื้นที่เดียวกันซ้ำ ๆ หลายรอบ เช่นใช้ซื้อกาแฟวันละ 3-5 หมื่นบาท พฤติกรรมนี้ระบาดไปทั่วประเทศ
นอกจากนี้ยังมีร้านค้ากว่า 1 พันแห่ง ที่สงสัยว่าจะเข้าข่ายทุจริตโดยจะใช้วิธี ร้านค้าโอนเงินไปให้คนซื้อ เพื่อมาซื้อสินค้าในร้าน ถ้าซื้อสินค้า 5 หมื่นบาท จะได้รับเงินคืนจากภาครัฐ 8,500 บาท แล้วก็นำมาแบ่งกัน ซึ่งยังมีวิธีโกงอื่นๆอีกมากมมายหลายรูปแบบ
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีการประเมินผลหรือไม่ว่า ที่ผุดมาตรการชิมช้อปใช้ตั้งแต่เฟส 1 เฟส2 เฟส3 นั้น กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหนคุ้มกับงบประมาณที่ใส่ลงไปหรือไม่ มีใครได้ประโยชน์บ้าง เงินไปถึงชุมชนมากน้อยแค่ไหน ไปตกอยู่กับกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่เท่าไหร่
เงินที่ใส่เข้าไปหมุนกี่รอบหากไม่ทำการประเมินอย่างจริงๆจังๆก็จะไม่รู้ว่าเม็ดเงินที่ใส่ไปเกิดประโยชน์หรือไม่
สำหรับ ชิม ช้อป ใช้ เฟส 4 อ้างว่าจะเป็นการช่วยกลุ่มธุรกิจโรงแรม อันนี้พอเข้าใจได้เพราะมีคนที่อยู่ในวงจรธุรกิจนี้ค่อนข้างมาก กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากกรณีที่ถูกไวรัสโคโรนาฟาดหางเข้าใส่แต่ก็ต้องถามว่าที่ผ่านมาที่ช่วยธุรกิจท่องเที่ยวนั้นเงินตกอยู่ในกลุ่มธุรกิจเท่าไหร่ไปถึงคนทำงานหรือไม่
ขณะที่บ้านเรากำลังเจอปัญหาหนี้ครัวเรือนล่าสุดพุ่งสูง140กว่า%แล้วแบงก์ชาติกำลังปวดหัวหนัก วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ ประชาชนต้องรู้จักออม เพราะหนี้ครัวเรือนนั้นเกิดจากพฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายของคนไทยประเภท”ช้อปง่าย จ่ายแหลก แดกด่วน” จนเป็นหนี้หัวโต
แต่ 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลกลับมีแต่นโยบายที่ให้ประชาชนออกมาใช้เงินเยอะๆช้ชีวิตฟุ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปั้นตัวเลขจีดีพี.เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ภาระตกอยู่กับประชาชนที่ ต้องเป็นหนี้ ที่กู้เงินมาจับจ่ายใช้สอยกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล
หากรัฐบาลจะกระตุ้นการท่องเที่ยวที่กำลังนอนหายใจผงาบๆอยู่ในห้องไอซียู ควรจะรณรงค์หรือหากลยุทธ์ให้บรรดาเศรษฐี หรือพวกชนชั้นกลางที่รสนิยมสูงชอบขนเงินไปเที่ยว ไปช้อปปิ้งต่างประเทศ ให้มีจิตสำนึกรักชาติหันกลับมาเที่ยวเมืองไทย ช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวคนไทยน่าจะดีกว่า
อยากให้มีการประเมินผลความสำเร็จของโครงการ 3 เฟสที่ผ่านมานโยบายนี้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไรไม่ใช่นับว่ามีเงินใช้จ่ายผ่านโครงการเท่าไร แต่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าไรใครได้ประโยชน์บ้าง? พฤติกรรมเป็นอย่างไร?
ไม่เช่นนั้นเงินก็จะถูกละลายทิ้งไป หรือเราคงมี ช็อปชิมใช้ เฟส 5,6,7,8,9 โดยไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจตามจุดประสงค์ของนโยบายเลย