นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อบริษัท Tesla ของ อีลอน มัสก์ อย่างแน่นอน เมื่อพูดถึงชายคนนี้ บางคนอาจคิดถึงโครงการ SpaceX ที่วาดฝันนำเสนอแผนการท่องเที่ยวไปกลับดวงจันทร์โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นมหาเศรษฐีไม่กี่คนบนโลก บางคนอาจคิดถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric vehicle; EV) ซึ่งแน่นอนว่าจับต้องได้และใกล้ตัวกว่า
แต่ภาพบริษัท Tesla ในความคิดของแต่ละคนคงแตกต่างกันไม่มากก็น้อย หลายคนอาจได้ยินว่าปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัท Tesla ขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ 1 ปีย้อนหลังมูลค่าหุ้นปรับขึ้นไปกว่า 400% ครั้นจะลงทุนบ้างก็ลังเลว่า ถ้าจะลงทุน ณ เวลานี้ จะช้าเกินไปหรือไม่ ธุรกิจมันจะล้ำไปหรือไม่ เพราะถ้ามองในบ้านเราเอง ก็ยังไม่ค่อยเห็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla วิ่งไปมาบนถนนมากเท่าใดนัก
แต่วิกฤตโควิด 19 ที่ยังไม่หมดไปบนโลกนี้ ก็ยังคงถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ากระแสการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์หรือการบริการอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เราคุ้นหูกันในชื่อของ Disruption นั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระยะเวลาสั้นๆ ครั้นจะลงทุนในเรื่องที่ยังไม่เห็นภาพชัดเจนก็อาจไม่มั่นใจ บทความนี้จึงจะขอมุ่งเน้นประเด็นเกี่ยวกับบริษัท Tesla ให้นักลงทุนได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทำไมอยู่ดีๆ บริษัท Tesla จึงอยู่ในความสนใจของนักลงทุน แน่นอนว่าแรงดึงดูดนี้ย่อมมาจากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนนักลงทุนอยากจะรู้จักทั้ง Tesla และ อีลอน มัสก์ ให้มากขึ้น นอกจากจะเป็นผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ทวิตแต่ละทีสะเทือนไปถึงดวงจันทร์หรือดาวอังคารแล้ว อีลอน มัสก์ยังเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัทTesla ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงแบตเตอรี่ อุปกรณ์อื่นๆ ตลอดจนระบบซอฟต์แวร์ เครือข่าย หรือปัญญาประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
รูปที่ 1 ส่วนแบ่งทางการตลาดของรถ Tesla ในแต่ละภูมิภาค
ที่มา https://ir.tesla.com/
แล้วสาเหตุที่วันนี้รถพลังงานไฟฟ้าเป็นวาระระดับโลกขึ้นมา ก็มาจากปัญหาโลกร้อนหรือ Climate change ที่ทั้งโลกพยายามประสานพลังหาทางแก้ปัญหา และทางที่เห็นพ้องต้องกันอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อมลภาวะ เรียกว่ารถพลังงานไฟฟ้ามาอยู่ถูกที่ถูกเวลาแล้วนั่นเอง รถยนต์พลังงานไฟฟ้าดูเหมือนเป็นสิ่งที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดแบบยั่งยืน ลดการปล่อยไอเสียหรือ Co2 และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้จริงในชีวิตประจำวัน อีกทั้งภาครัฐฯ หลายแห่งให้การสนับสนุน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมราคาหุ้นของ Tesla จึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
รูปที่ 2 ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 67%ในรอบ 10 ปีย้อนหลัง
ที่มา Bloomberg
แม้ว่าราคาหุ้นของ Tesla จะปรับขึ้นอย่างมาก ในปี 2020 ซึ่งหลายคนมองว่าปรากฏการณ์นี้ มีปัจจัยหลักจากจำนวนรถยนต์ที่ผลิตและส่งมอบได้ที่เพิ่มขึ้นจากฐานการผลิตในจีนที่เพิ่มศักยภาพในการผลิต ทำให้ปี 2020 เป็นปีแรกที่ผลประกอบการของบริษัท Tesla ไม่ขาดทุน
มาดูมุมมองของนักวิเคราะห์ทั่วโลกต่อราคาหุ้น Tesla กันบ้าง (สำรวจโดย Bloomberg) นักวิเคราะห์เริ่มเสียงแตก กล่าวคือมีทั้งแนะนำให้ “ซื้อ” “ถือ” และ “ขาย” ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
ในมิติของราคาเป้าหมาย (สำรวจล่าสุดในปี 2021) ก็ค่อนข้างหลากหลายคือมีตั้งแต่ระดับราคา 67-1,200 เหรียญ (เทียบกับราคาปัจจุบันที่ระดับประมาณ 800 เหรียญ) หนึ่งในสมมติฐานที่นักวิเคราะห์นำมาใช้คำนวณราคาเป้าหมายของแต่ละท่านก็คงหนีไม่พ้นเรื่องรายได้จากการขายรถไฟฟ้าของบริษัทนั่นเอง สำหรับฝั่ง “Bull” ที่มองว่าราคาจะปรับตัวได้ก้าวกระโดดก็คงหนีไม่พ้นประเด็นที่เชื่อว่ายอดขายรถไฟฟ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนจะเติบโตแบบก้าวกระโดด จากตลาดจีนที่มีขนาดที่ใหญ่มหาศาล
ส่วนฝั่ง “Bear” ไม่เชื่อว่า Tesla จะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในจีนได้ เพราะในจีนเองก็มีคู่แข่งที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นแบรนด์รถไฟฟ้าเช่น NIO, XPeng หรือ Li Auto ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างมีลูกเล่นด้านเทคโนโลยี การบริการหรือด้านราคา ถึงขนาดว่าอย่างกรณีรถไฟฟ้าของ XPeng มีการตั้งชื่อว่า “Tesla Killer” อีกด้วย ซึ่งเป็นการย้ำว่าสมรภูมิตลาดรถไฟฟ้านี้กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลยทีเดียว
ท้ายสุดการแข่งขันในโลกเสรีย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้บริโภคอย่างเราที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสมและเป็นหนึ่งในแนวทางการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าจะยากที่จะประเมินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้ก็ตาม
ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจึงยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญในภาวะที่ตลาดผันผวนสูงเช่นปัจจุบัน
