เงินดอลลาร์แข็งค่าพุ่งขึ้นแตะดัชนีที่ 98.95 หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าตามแผนการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 125,000 ล้านดอลล์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน
ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าร่วงลงแตะ 7.157 หยวนต่อดอลลาร์ เป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 25 ปี หลังจากที่มาตรการตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐและจีนเริ่มต้นรอบใหม่ โดยรัฐบาลจีนเพิ่งประกาศขึ้นภาษี นำเข้าจากสหรัฐเป็นมูลค่าอีก 75,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม China Foreign Exchange Trading System (CFETS)ได้กำหนดค่ากลางเงินหยวนในวันจันทร์ที่ระดับ 7.0883 หยวนต่อดอลลาร์ โดย Offshore Yuan ยังคงร่วงลงที่ระดับ 7.157 ต่อดอลลาร์ เป็นการอ่อนค่าถึง 3.6% ในเดือนสิงหาคม เป็นการตกต่ำลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ที่ค่าเงินหยวนดิ่งลง 3%
[restrict]สหรัฐและจีนได้เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าตามแผนการที่วางไว้ นับตั้งแต่เวลา 11.00 น. ตามเวลาไทยในวันจันทร์ โดยสหรัฐได้ประเดิมเก็บภาษี 15% จากสินค้าจีนมูลค่า 125,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสินค้าจำพวกสมาร์ทวอทช์ ทีวีจอแบน และรองเท้า ขณะที่จีนได้เริ่มเก็บภาษี 5% ในการนำเข้าน้ำมันดิบ และถั่วเหลืองจากสหรัฐ
ขณะเดียวกันกับที่ทีมผู้แทนการค้าของจีนและสหรัฐยังคงเจรจากันต่อไป และจะประชุมกันในเดือนกันยายน ท่ามกลางบรรยากาศการตั้งกำแพงภาษีสินค้าของทั้ง 2 ประเทศยังคงดำเนินต่อไปพรุ่งนี้ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า แผนการปรับขึ้นภาษียังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ได้มีการประนีประนอมกันมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เงินยูโรดิ่งลงต่อเมื่อเทียบดอลลาร์ต่ำกว่าระดับ 1.10 ดอลลาร์ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความกล่าวหาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ทำอะไรต่อการร่วงลงของยูโร ซึ่งทำให้ประเทศในยุโรปได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ และยังส่งผลดีต่อภาคการผลืต
แต่การอ่อนค่าของยูโรนั้นเป็นผลมาจากการที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดดอกเบี้ย และเตรียมผลักดันโครงการซื้อบอนด์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนกันยายนนี้
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเยอรมนีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปกำลังประสบกับภาะเศรษฐกิจถดถอยในอัตราที่ติดลบ 0.1% ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งหากว่าภาวะถดถอยเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 จะถือเป็นการถดถอยทางเทคนิคที่มีความสุ่มเสี่ยงว่าจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างถาวรในที่สุด
ทางด้านจีนนั้น แม้จะไม่มีสัญญาณเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ก็มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้ากับสหรัฐที่รุนแรงมากขึ้น โดยนับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เศรษฐดิจจีนมีการชะลอตัวลง 0.4% หากนับรวมผลจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอีก 300,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจชะลอตัวลงอีก 0.2%
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การชุมนุมประท้วงของชาวฮ่องกงที่เกิดขึ้นในช่วงเกือน 3 เดือนที่ผ่านมานี้ เริ่มส่งผลต่อรายได้จากการท่องเที่ยว โดยทียอดค้าปลีกเดือนกรกฎาคมของฮ่องกง ร่วงลงถึง 11.4% โดยเฉพาะยอดขายของห้างสรรพสินค้าในฮ่องกงดิ่งลง 10.4%
ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความโจมตีและกดดันเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ที่มีฐานการผลิตรถยนต์ในจีน และเคยเป็นยักษ์ใหญ่ในเมืองดีทรอยท์ แต่ปัจจุบันกลับเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์ที่เล็กที่สุด เพราะได้มีการย้ายโรงงานขนาดใหญ่ไปยังจีน ซึ่งขณะนี้สมควรที่ GM จะกลับเข้ามาลงทุนในอเมริกา
แต่ทั้งนี้ มีรายงานว่า GM ยังคงเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อเทียบกับยอดขายรถยนต์ โดยที่มียอดขายรถยนต์มากกว่า 3.6 ล้านคันในจีนเมื่อปีที่แล้ว แต่เป็นรองจากฟอร์ด มอเตอร์ และเฟียต ไครสเลอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับการจ้างงานชที่เป็นชาวอเมริกัน[/restrict]