ผู้ที่มีเงินได้ทุกคนต้องมีหน้าที่เสียภาษี ไม่เว้นแม้แต่เงินได้จากการลงทุน โดยกรมสรรพากรได้ตอกย้ำประเด็นร้อนแรงอย่าง “ภาษีคริปโต” ว่าถึงอย่างไรก็ต้องเสียภาษี ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สามารถนำผลจากกำไรมาหักลบกลบผลขาดทุนจากการลงทุนคริปโตได้แล้ว
สำหรับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่เกินจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งประเภทคริปโตเคอเรนซี และโทเคนดิจิทัล ใครบ้างที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีคริปโต เช็กกันก่อนที่นี่!
1.การจำหน่าย จ่าย โอน หรือแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี/โทเคนดิจิทัล 2.การขุดคริปโตเคอเรนซี 3.การได้รับคริปโตเคอเรนซีเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง 4.การได้รับคริปโตเคอเรนซี/โทเคนดิจิทัลจากการให้ หรือได้รับเป็นรางวัล 5.ได้รับผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการถือครอง ทั้งจากคริปโตเคอเรนซี และโทเคนดิจิทัล โดยต้องยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90/91 สำหรับปีภาษีที่มีเงินได้ดังกล่าว ภายในวันที่ 31 มี.ค.ของปีถัดไป
ทั้งนี้ในหลักการเก็บภาษีคริปโต ยังมีข้อสงสัยและเกิดคำถามอยู่มาก จึงได้รวบรวมประเด็นและไขข้อสงสัย ดังนี้
1.การเก็บภาษีจากมูลค่าคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ที่ถืออยู่ ต้องเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน หรือไม่?
-ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น เก็บจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ดังนั้น หากถือคริปโตหรือโทเคนดิจิทัล ไว้โดยไม่มีการโอนยังไม่ถือว่ามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
สำหรับการแลกเปลี่ยน คริปโต เป็นเงินบาท นั้น หากมีเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร (ตัวอย่าง : นำเงินบาทจำนวน 100 บาท ไปซื้อ คริปโตได้ 1 เหรียญ ต่อมานำเหรียญดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนกลับเป็นเงินบาทได้ 150 บาท ถือเป็นเงินได้เกินกว่าส่วนที่ลงทุน 50 บาท)
2.การนำคริปโตเคอเรนซี สกุลหนึ่งไปแลกเปลี่ยนเป็น คริปโตเคอเรนซี อีกสกุลหนึ่ง ถือว่ามีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีหรือไม่?
-การแลกเปลี่ยน คริปโต สกุลหนึ่งไปแลกเปลี่ยนเป็น คริปโต อีกสกุลหนึ่งนั้น ถือเป็นการโอนคริปโต ตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร
-หากการนำ คริปโต มาแลกเปลี่ยนเป็น คริปโต อีกสกุลหนึ่ง มีเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง: นาย ก. ซื้อเหรียญ A มาในราคา 100 บาท และนาย ข. ซื้อเหรียญ B ราคา 50 บาท ต่อมาทั้งคู่นำเหรียญมาแลกเปลี่ยนกัน ณ วันที่แลกเหรียญ A และเหรียญ B ในราคา 150 บาท ถือว่า นาย ก. มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร จากส่วนที่เกินกว่าส่วนที่ลงทุน 50 บาท และ นาย ข. มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร จากส่วนที่เกินกว่าส่วนที่ลงทุน 100 บาท
3.หากทุน 10,000 บาท และถอนออกในราคา 10,000 บาท ถือว่าไม่มีผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตเคอเรนซี หรือไม่?
-การพิจารณาจะพิจารณามูลค่าที่โอนขายมิใช่มูลค่าเมื่อถอนเงินออกจากบัญชี หากลงทุนซื้อคริปโตเคอเรนซี มูลค่า 10,000 บาท และขายในราคา 10,000 บาท ถือว่าไม่มีผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตเคอเรนซี (10,000 บาท (ขาย) – 10,000 บาท (เงินที่ลงทุน) = 0 บาท) เนื่องจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น เก็บจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตเคอเรนซี ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
4.หากขายคริปโตเคอเรนซี/โทเคนดิจิทัล แล้วแต่ยังไม่ได้โอนเงินออกมาจากบัญชีซื้อ-ขาย จะถือว่ามีเงินได้หรือไม่?
-หากผู้ถือครองคริปโต/โทเคนดิจิทัล ได้ขายแล้วนั้น ไม่ว่าจะนำเงินออกจากบัญชีหรือไม่ ถือว่ามีเงินได้ในปีที่ขายแล้ว ผู้มีเงินได้จึงมีหน้าที่ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 ในปีที่ขาย
5.วิธีการเสียภาษีจะต้องดำเนินการอย่างไร?
-กรณีมีเงินได้จากการขาย คริปโตเคอเรนซี ที่ได้จากการขุด (Mining) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้มีเงินได้ดังกล่าวมีหน้าที่ ดังนี้
1.) ยื่นรายการกลางปี (เงินได้จากการขายระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน) ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ในช่วงเวลาดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีมาตรา 48 โดยหักลดหย่อนตามมาตรา 47 ให้กึ่งหนึ่ง (เงินได้หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามจริงหักค่าลดหย่อน) และชำระภาษีถ้ามี พร้อมกับการยื่นรายการ
2.) ยื่นรายการประจำปี (เงินได้จากการขายทั้งปีภาษี) ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ในช่วงเวลาดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีมาตรา 48 โดยหักลดหย่อนตามมาตรา 47 (เงินได้หักค่าใช้จ่ายหักค่าลดหย่อนทั้งปีภาษี) และชำระภาษีถ้ามี พร้อมกับการยื่นรายการ ทั้งนี้ ภาษีที่ชำระไว้แล้ว สำหรับการยื่นรายการกลางปี ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระภาษีปลายปีได้
– กรณีมีกำไรจากการขายหรือการโอน คริปโตเคอเรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) (ฌ) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีมาตรา 48 โดยหักลดหย่อนตามมาตรา 47 (เงินได้ (มีการหักค่าใช้จ่าย) หักค่าลดหย่อนทั้งปีภาษี)
– กรณีได้รับผลตอบแทนจากการนำคริปโตเคอเรนซี ไปหาประโยชน์ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น ผู้มีเงินได้ดังกล่าวมีหน้าที่ ดังนี้
1.) ยื่นรายการกลางปี (เงินได้จากการขายระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน) ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ในช่วงเวลาดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีมาตรา 48 โดยหักลดหย่อนตามมาตรา 47 ให้กึ่งหนึ่ง (เงินได้หักค่าใช้จ่ายหักค่าลดหย่อน) และชำระภาษีถ้ามี พร้อมกับการยื่นรายการ
2.) ยื่นรายการประจำปี (เงินได้จากการขายทั้งปีภาษี) ให้ผู้มีเงินได้นำเงินได้ในช่วงเวลาดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีมาตรา 48 โดยหักลดหย่อนตามมาตรา 47 (เงินได้หักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามจริงหักค่าลดหย่อนทั้งปีภาษี) และชำระภาษีถ้ามี พร้อมกับการยื่นรายการทั้งนี้ ภาษีที่ชำระไว้แล้ว สำหรับการยื่นรายการกลางปี ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระภาษีปลายปีได้
6.ผู้มีเงินได้ต้องจัดเตรียมหลักฐานประกอบการยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 อย่างไร?
-เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นเป็นการประเมินตนเอง ผู้มีเงินได้จากการขายคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล จึงต้องประเมินตนเองว่ามีกำไรจากการขายคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล เป็นจำนวนเงินเท่าไร และควรเตรียมหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ต้นทุนในการซื้อและราคาขายคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล เพื่อประกอบการพิสูจน์กำไรของผู้มีเงินได้หลักฐานที่ระบุถึงการทำธุรกรรมการซื้อ หรือขาย ที่มีข้อมูลดังนี้
– จำนวนที่ซื้อ หรือขาย
– มูลค่าของคริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ณ วันที่ทำธุรกรรม
– อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง
– รายละเอียดผู้ซื้อหรือผู้ขาย สำหรับการซื้อ/ขาย คริปโตเคอเรนซีหรือโทเคนดิจิทัล (ถ้ามี)
– หลักฐานใบกำกับภาษีหรือ ใบเสร็จค่าใช้จ่าย
– หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี)
7.กรณีที่มีกำไรจากการซื้อขาย แต่ไม่ได้ยื่นแบบหรือไม่ได้ระบุในแบบ จะมีโทษอย่างไร?
-กรมสรรพากรมีการตรวจสอบการมีเงินได้ หากผู้มีเงินได้ไม่ยื่นแบบแสดงรายการหรือยื่นแต่เป็นเท็จนั้นผู้มีเงินได้ย่อมรับโทษดังนี้
1.)กรณีไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลา จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน) ของเงินภาษีที่ต้องชำระนับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวันชำระภาษี
2.)กรณีเจ้าพนักงานตรวจสอบออกหมายเรียก และปรากฏว่ามิได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้หรือยื่นแบบแสดงรายการไว้แต่ชำระภาษีไม่ครบถ้วน นอกจากจะต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มแล้ว ยังจะต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าหรือ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระแล้วแต่กรณี
3.)กรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90, 91 หรือ 94 ภายในกำหนดเวลา ต้องระวางโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท
4.)กรณีจงใจ แจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จหรือฉ้อโกง เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท 5.)กรณีเจตนาละเลยไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ