HomeMoney2know“สงครามการค้า” ระลอกใหม่กดหุ้น กอดคอร่วงทั้งเอเชีย

“สงครามการค้า” ระลอกใหม่กดหุ้น กอดคอร่วงทั้งเอเชีย

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวร่วงทั้งภูมิภาค หลังจีน-สหรัฐประกาศเก็บภาษีรอบใหม่  โดยหุ้นไทยปิดร่วง 23.95 จุด  ด้าน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ขอนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,622.73 จุด ลดลง 23.95 จุด (-1.45%) มูลค่าการซื้อขาย 64,691.57 ล้านบาท  โดยเป็นการปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาคที่ต่างปรับตัวลงหลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ปะทุขึ้นมาอีกระลอก  หลังจากจีนประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ  และสหรัฐตอบโต้ด้วยการประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา  ทำให้นักลงทุนติดตามการประชุมเฟดในช่วงกลางเดือนก.ย.อีกครั้ง ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

“ทรัมป์” ทวีตอีกครั้ง ระบุจีนติดต่อขอกลับสู่โต๊ะเจรจา

โดนัลด์ ทรัมป์

โดยในช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวในการแถลงข่าวที่ฝรั่งเศส  ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G7 ว่า  สหรัฐจะเริ่มเจรจาการค้ากับจีนอย่างจริงจังอีกครั้ง  โดยระบุว่า จีนได้ติดต่อมาเมื่อคืนนี้และเสนอให้กลับมาเจรจาร่วมกัน ดังนั้น สหรัฐและจีนจะกลับสู่โต๊ะเจรจา

- Advertisement -

โดย “ทรัมป์” ยังได้กล่าวชื่นชม “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” และระบุว่าจะขานรับในความปรารถนาของผู้นำจีนที่ต้องการทำข้อตกลงและความสงบ  ส่งผลให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ได้พลิกกลับมาเป็นบวกราว 200 จุดในช่วงแรก

“สมคิด” ชี้เป็นภาวะที่เกิดทั่วโลก แนะอย่าตื่นตระหนก

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง  กรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวร่วงกว่า 30 จุดในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ ตั้งแต่เปิดทำการ (26 ส.ค.) ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  มีปัจจัยจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าของสหรัฐฯและจีน สถานการณ์ Brexit ของอังกฤษที่จะออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับตลาดหุ้นไทยเท่านั้น โดยขอให้นักลงทุนอย่าตกใจ และกังวล ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ต้องติดตามการประชุม G7 ที่จะเกิดขึ้นด้วยว่าจะมีทิศทางอย่างไร จะส่งผลเช่นไรต่อตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการรองรับและจะติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุนอย่างใกล้ชิด

“ภากร” ชี้หุ้นไทยยังน่าสนใจ P/E และผลตอบแทนดีกว่าภูมิภาค

นายภากร ปีตธวัชชัย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากว่า  เป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัจจัยของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปก่อน ซึ่งได้ปรับตัวลดลงราว 2.5% และมีผลตามมาต่อตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงตอบรับข่าวลบดังกล่าวตามกัน

โดยภาพรวมของตลาดหุ้นไทยถือว่ายังมีความน่าสนใจอยู่ จากระดับ P/E และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ส่วนกระแสเงินทุนจากต่างชาติในปีนี้ยังเป็นบวก และมีมูลค่าที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะมีการขายออกมา แต่การขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติเทียบกับตลาดในภูมิภาคถือว่าใกล้เคียงกัน โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น

นายภากร ระบุว่า “เชื่อว่าหากปัจจัยความไม่แน่นอนที่มาจากปัจจัยภายนอกมีความชัดเจนขึ้น กระแสเงินทุนจากต่างชาติจะมีโอกาสไหลกลับเข้ามาในไทย โดยเฉพาะนักลงทุนประเภท Passive Investor โดยการลงทุนในระยะยาวจะกลับมาเข้าลงทุนเป็นอันดับแรกๆ”

โดยจัดงาน “Thailand Focus 2019: Embracing Opportunities – The Next Chapter” ระหว่างวันที่ 28-30 ส.ค.นี้ จะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ในการให้ข้อมูลในหลายๆเรื่อง ทั้งในเรื่องของการมีรัฐบาลใหม่ที่มาสานต่อนโยบายที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ และการปรับนโยบายให้นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนได้ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาร่วมงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนอย่าตกใจและตื่นตระหนกกับภาวะความไม่แน่นอนที่กดดันตลาดหุ้นในช่วงนี้ เพราะปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และอยากให้นักลงทุนติดตามข่าวและสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และควรใช้ความระมัดระวัง พร้อมกับการจัดพอร์ตให้เหมาะสม โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มที่อ้างอิงกับการส่งออกไปสหรัฐฯและจีนเป็นหุ้นที่จะได้รับแรงกดดันสูง แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่ไม่ได้รับจากปัจจัยดังกล่าว และราคาหุ้นไม่ได้รับลดลงตามตลาด เช่นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)

ทองทะยานขึ้น คาดอาจแตะ 1,600 ใน 3 เดือน

UBS Group AG คาดว่า ราคาทองคำจะปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังการเผชิญหน้าด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน  สร้างความเสียหายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ  และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะชะลอตัวมากขึ้น และทำให้ธนาคารกลางผ่อนคลายมากขึ้น โดย UBS ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำว่า อาจแตะ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในเวลา 3 เดือน

ด้าน “วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ฟิวเจอร์ส” ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น จะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาอย่างชัดเจน  หลังจากดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นทันที เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กล่าวนอกรอบการประชุม G7 ว่า จีนต้องการที่จะกลับมาเจรจาในประเด็นการค้าใหม่อีกรอบ อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าวยากต่อการคาดการณ์ล่วงหน้า ดังนั้นนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน หรือการเข้าซื้อควรรอราคาทองคำอ่อนตัวลงจึงค่อยเข้าซื้อ

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News