ในที่สุดอัตรา ดอกเบี้ย แท้จริงของไทยก็เข้าสู่แดนลบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลัง กนง.มีมติด่วนให้ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 0.75% ถือเป็นการสร้างสถิติใหม่อีกครั้งที่ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% คำถามคือมีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่ประเทศไทยจะมีดอกเบี้ยนโยบายติดลบเช่นเดียวกับประเทศในยุโรป
จากการที่ วันที่ 20 มีนาคม 2563 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการประชุมนัดพิเศษเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและกลไกการทำงานของตลาดการเงินของประเทศ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตรา ดอกเบี้ย นโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี โดยให้มีผลในวันที่ 23 มีนาคม 2563
เพื่อลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนมาตรการการคลังของรัฐบาลที่ได้ออกมาแล้วและจะออกมาเพิ่มเติม
คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งที่ผ่านมาและในครั้งนี้จะเกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินจะต้องมีบทบาทเชิงรุกในการช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของลูกหนี้โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และประชาชน
รวมทั้งการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยติดตามการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินเพื่อให้มั่นใจว่าตลาดการเงินมีเสถียรภาพและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการประชุม กนง.นัดต่อไปยังคงตามวาระปกติในวันที่ 25 มี.ค.นี้
ผลจากการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้เหลือ 0.75% ส่งผลให้ดอกเบี้ยแท้จริงของไทยติดลบเพิ่มเป็น -0.30% หากอ้างอิงจากรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือน ม.ค. 63 ซึ่งอยู่ที่ 1.05% ของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับล่าสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ประเทศไทยเคยอยู่ในภาวะ ดอกเบี้ยแท้จริง ติดลบมาแล้วในช่วงปี 2553-2554 ที่ระดับ -1.22%
ทั้งนี้สูตรการคิดอัตราดอกเบี้ยแท้จริงต้องนำดอกเบี้ยเงินฝากหักเงินเฟ้อออกไป เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก 1% แต่มีอัตราเงินเฟ้อ 1.5% เท่ากับว่าดอกเบี้ยแท้จริงเท่ากับ -0.5%
การที่ดอกเบี้ยแท้จริงติดลบหมายความว่าผู้ที่ฝากเงินอยู่แทบจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆเพราะถูกเงินเฟ้อที่สูงกว่ากดเอาไว้ พูดง่ายๆคือผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ดอกเบี้ยแท้จริง ติดลบใครที่เสียหาย?? และดอกเบี้ยนโยบายไทยจะติดลบได้หรือไม่??
แน่นอนว่าผู้ที่ฝากเงินในธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะได้รับผลกระทบเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้จะลดลงรวมถึงผู้ที่ลงทุนในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคมรวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พอร์ตส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่จะต้องมีผลตอบแทนลดลงไปด้วย
หลังจากดอกเบี้ยแท้จริงติดลบไปแล้ว สิ่งที่จับตาต่อไปคือดอกเบี้ยนโยบายของเราจะมีโอกาสติดลบด้วยหรือไม่??
ปัจจุบันมีธนาคารกลางยุโรป สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และญี่ปุ่น ที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ แม้ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ของประเทศเหล่านี้จะไม่ปล่อยให้ ดอกเบี้ย เงินฝากติดลบไปด้วยเพราะจะกระทบต่อผู้ฝากเงินและฐานเงินทุนของธนาคาร
แต่ปลายปีที่ผ่านมาธนาคารในเดนมาร์กและสวิตเซอร์แลนด์ประกาศใช้อัตรา ดอกเบี้ย เงินฝากติดลบแล้ว โดยจะเริ่มใช้กับลูกค้าที่มีเงินฝากจำนวนมากก่อน โดยผู้ฝากจะต้องจ่ายเงินค่าธรรมเนียมในการฝากเงินให้กับธนาคาร
ข้อสังเกตุของประเทศที่ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบคืออัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงเงินฝืดแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่คงอัตราดอกเบี้ยต่ำมายาวนานและยังไม่สามารถทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้เลยตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา
ขณะที่ประเทศไทยแม้อาจไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะถึงขั้นใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบหรือไม่ แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกำลังบีบให้ไปในทิศทางนั้น!!
เริ่มจากแนวโน้มเงินเฟ้อหลังจากนี้คาดว่ายากที่จะปรับตัวขึ้นเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกหยุดชะงักจำนวนมาก ประกอบกับราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญไม่น่าที่จะอยู่ในระดับสูงนักจากสงครามราคาน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย
ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยแม้ว่าจะลดลงมากต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว แต่ต้องบอกว่ายังมีช่องว่างให้ลดลงได้อีกถึงสองครั้งๆละ 0.25% ซึ่งจะไปหยุดที่ระดับ 0.25% แต่หากดูเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะในเอเชีย ยังไม่เห็นประเทศใดที่จะเกิดอัตราดอกเบี้ยติดลบ
ล่าสุด นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ธนาคารกสิกรไทยพร้อมตอบสนองนโยบาย เดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25% เหลือ 6.62% และลด MRR ลง 0.12% เหลือ 6.50% เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ลูกค้าของธนาคารโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า SME และ บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ ธนาคารไม่ได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์บุคคลธรรมดาแต่อย่างใด หากแต่ลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นิติบุคคลลง 0.05% และ เงินฝากประจำลง 0.10-0.25% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปล่อยกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน ช่วยลดต้นทุนให้เอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบไวรัสโควิด-19 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า กนง. กำลังยอมรับสภาพที่เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยตามเศรษฐกิจโลก ส่วนจะลงดิ่งเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับมาตรการทางการเงินและการคลังที่จะรับมือกับไวรัสโควิด-19 ที่กระทบภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
ทั้งนี้ ขอชื่นชม กนง.ที่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยโดยไม่รอวาระการประชุมปกติและมองไปข้างหน้า ธปท.น่าจะมีมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเพิ่มเติม เพราะวันนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องแม้ธนาคารกลางสำคัญอัดฉีดเงินมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ต้องรอลุ้นว่า กนง.จะหั่นดอกเบี้ยอีกรอบวันที่ 25 มี.ค.นี้หรือไม่ และอาจเผยมาตรการกึ่งๆ QE หรืออัดฉีดเงิน ที่ไทยจะใช้เสริมสภาพคล่องให้ธนาคารและภาคเอกชนมาเสริม
สรุปคือโอกาสที่ประเทศไทยจะเผชิญกับ ดอกเบี้ย แท้จริงติดลบน่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่จะได้เห็นดอกเบี้ยนโยบายติดลบหรือไม่นั่นต้องติดตามกันต่อไป
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : คนไทยได้หรือเสียจากการลดดอกเบี้ย1%ครั้งประวัติศาสตร์