รายงานข่าวจากตลาดการเงิน ระบุว่า เงินบาทในเช้าวันนี้ 20 ก.ย. ได้อ่อนค่าสุดในรอบ 10 เดือนมาแตะระดับ 36.24 บาทต่อดอลลาร์ โดยสาเหตุมาจากการเฝ้าติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะรับรู้ผลในคืนนี้ และมาจากบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินไหลออกจากประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่าอสังหาริมทรัพย์ของจีน Sunac ได้ยื่นล้มละลายอีกแห่งแล้ว เนื่องจากเจอปัญหาหนี้สิน โดยระหว่างวันยังต้องระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้กับเงินบาท และติดตามเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติใกล้ชิด โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทยที่ยังมีความกังวลต่อแนวโน้มปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในปีงบประมาณหน้า
ด้าน “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินการประชุมเฟดคาดจะคงดอกเบี้ยไว้ 5.25-5.5% เพื่อรอดูทิศทางเงินเฟ้อและตลาดแรงงานในระยะข้างหน้า ท่ามกลางเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอลงแม้จะยังอยู่ในระดับสูงและตลาดแรงงานที่แม้จะค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงและกลับสู่จุดสมดุลมากขึ้น และจะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจและคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าซึ่งคงเป็นประเด็นหลักที่ต้องติดตาม
ทั้งนี้ มองว่าเฟดอาจยังคงเปิดโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้ แม้ความน่าจะเป็นจะค่อนข้างต่ำ ภายใต้เงื่อนไขหากเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าปรับลดลงช้าและยังอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งหากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงไม่ชะลอตัวลงอย่างที่คาด แต่ให้น้ำหนักมากสุดต่อกรณีเฟดสิ้นสุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบวัฏจักรนี้และคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50% ไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย ท่ามกลางทิศทางเงินเฟ้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง
เมื่อมองไปข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยแม้ว่าตลาดจะมองความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นลดลง หรือความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีทิศทางสู่ซอฟท์แลนดิ้งนั้นจะมีมากขึ้น คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าโดยอาจโตต่ำกว่า 1% ส่งผลให้เฟดอาจต้องเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นสำคัญ ซึ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มที่จะยังเผชิญความผันผวนต่อไปในระยะข้างหน้า โดยหากเฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าคาดหรือคงดอกเบี้ยนโยบายยาวนานกว่าคาด ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ฯ ได้