ยิ่งโลกพัฒนาไปมากเท่าไหร่ อำนาจยิ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศที่ต้องการเป็นหนึ่งมากเท่านั้น ทว่าการแย่งชิงอำนาจทุกวันนี้ ไม่ใช่สงครามที่ระดมสรรพกำลังโจมตีกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามรูปแบบใหม่ที่แสดงแสนยานุภาพผ่านการโจมตี ค่าเงิน
ปัญญา จรรยารุ่งโรจน์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Global Markets ธนาคาร HSBC & Citibank ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงิน มีความผูกพันและศึกษาเชิงลึกในตลาดเงินมากว่า 35 ปี อธิบายถึงลักษณะของการทำสงครามแบบใหม่ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดสงครามหลากรูปแบบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คือ “ประเทศมหาอำนาจ” ไม่ต้องการให้มีประเทศที่ 2 มาเบียดตำแหน่งมหาอำนาจของโลก จึงพยายามหาวิธีที่ปิดโอกาสคู่แข่ง และเปิดโอกาสให้ประเทศตัวเอง
หนึ่งในนั้นคือ กติกาต่าง ๆ ที่มหาอำนาจออกแบบมาเพื่อใช้ในสังคมโลก แต่เอื้อให้เกิดผลประโยชน์กับประเทศของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน เช่น การกำหนดให้ดอลลาร์ฟิกซ์กับทองคำ แล้วให้ค่าเงินอื่นมาฟิกซ์กับดอลลาร์อีกทอดหนึ่งจนกลายเป็นรากเหง้าของระบบการเงินระหว่างประเทศ ที่ทำให้เงินดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองเงินตราของโลก และได้เปรียบประเทศอื่น ๆ จนถึงวันนี้
เป็นความชาญฉลาดของมหาอำนาจที่กำหนดระบบการเงินระหว่างประเทศให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลเดียว ที่ผูกกับทองคำ ประเทศยุโรปอื่น ๆ บอบช้ำจากสงครามโลกไม่มีทองคำมากพอ จึงต้องเป็นเบี้ยล่างผูกค่าเงินตนเองกับดอลลาร์เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นหลังสงคราม ยุทธสงครามระบบการเงินนี้มีเป้าหมายในการเตะปัดขาเงินปอนด์ ซึ่งเคยเป็นเงินตราที่สำคัญที่สุดของโลก
เมื่อเงินปอนด์ของอังกฤษเสื่อมลง ศักยภาพทางการเงินระหว่างประเทศของอังกฤษก็เสื่อมตามทำให้อังกฤษไม่สามารถรักษาศักยภาพทางการทหารได้เหมือนเดิม ประเทศอาณานิคมต่าง ๆ จึงถือโอกาสประกาศอิสรภาพ จะเห็นได้ชัดว่าระบบการเงินระหว่างประเทศออกแบบมาเพื่อค้ำจุนศักยภาพทางการทหาร เพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจของโลก
“ดอลลาร์เป็นมหาอำนาจของระบบการเงินระหว่างประเทศ ในอดีต ใช้กระสุน และเทคโนโลยีทางการทหารเพื่อขึ้นเป็นมหาอำนาจ วันนี้ใช้ระบบการเงิน ระบบเศรษฐกิจ และศักยภาพทางการทหารเพื่อค้ำจุนความเป็นมหาอำนาจ”
ตัวอย่างที่ชัดเจน และใกล้เคียงกับสิ่งที่ไทยกำลังเผชิญมากที่สุด คือการเปลี่ยนแปลง ค่าเงิน ของญี่ปุ่น หลังการประชุม “Plaza Accord (พลาซ่า แอคคอร์ด)” เมื่อปี 1985
ณ เวลานั้น ญี่ปุ่นขึ้นแท่นมหาอำนาจอันดับ 2 ผลพวงจากการกำหนดค่าเงินเยนที่ 360 เยนต่อหนึ่งดอลลาร์ จนถึงปี ค.ศ.1971 ตามสนธิสัญญา Bretton Woods ซึ่งเป็นความใจดีของพี่ใหญ่อเมริกาต่อญี่ปุ่นผู้แพ้สงครามโลก ทว่า ในทศวรรษต่อมาสหรัฐอเมริกาเสียเปรียบด้านการค้ากับประเทศญี่ปุ่นมาก จึงมีการประชุมครั้งสำคัญในปี 1985 ที่เรียกว่า “พลาซ่า แอคคอร์ด” สงครามรูปแบบใหม่ที่มีการบังคับให้ญี่ปุ่นทำค่าเงินให้แข็งขึ้นจาก 260 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐลดลงเหลือ 120 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลาไม่กี่เดือนจาก
ค่าเงิน ที่แข็งเกินความเหมาะสมนี่เอง ทำให้ญี่ปุ่นเสียเปรียบการแข่งขันการค้าระหว่างประเทศสูญเสียอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ ต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน ( Flying Geese Theory : Kaname Akamtsu ) การจ้างงานในประเทศลดลง ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงนับแต่วันนั้นยังฟื้นตัวแทบไม่ได้มาจนถึงวันนี้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ญี่ปุ่น เป็นผู้แพ้ในสงครามค่าเงิน
ตัวอย่างในครั้งนั้น สะท้อนอย่างชัดเจนถึงอันตรายจากค่าเงินบาทที่แข็งเกินความเหมาะสม ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการค้า และยังส่งผลกระทบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว (บทเรียนจากวิกฤตสู่โอกาสครบรอบ 35 ปี การลดค่าเงินบาท คลิก )
สิ่งที่น่ากังวล สำหรับประเทศไทยในตอนนี้คือ พฤติกรรมการโจมตีค่าเงินอย่างเสรีจากประเทศมหาอำนาจหรือต่างชาติ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “สงครามแบบใหม่” ที่อาจทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะผู้พ่ายสงครามการเงินคล้ายญี่ปุ่น หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่บริหารจัดการให้เหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่
“สงครามแบบใหม่ไทยห้ามรบแบบเก่า”
ที่ผ่านมาตลาดเงินตลาดทุนไทยเสียอธิปไตยจากการเขียนกติกาของมหาอำนาจ หลายด้าน อาทิ
– ด้านอัตราแลกเปลี่ยนดังที่เห็นได้ชัดเจนว่า ณ เวลานี้ เงินบาทแข็งค่าจนยากที่จะแข่งขันทางการค้า นักเก็งกำไรต่างชาติสามารถปั่นค่าเงินบาทได้ไม่ยาก ดังที่ปรากฎชัดเมื่อบ่ายวันที่ 30 ธันวาคม และต่อเนื่องถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 สิ้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขื้นกว่า 1.3%ในขณะที่ไทยหยุดฉลองวันสิ้นปี
ที่มาภาพ : งานประชุมระดมสมอง ออมดอลลาร์ช่วยชาติ กองทุนรวมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด
– ด้าน Yield Curve (เส้นอัตราผลตอบแทน) ต่างชาติเข้ามาเล่น Yield Curve ของไทยได้โดยเสรี ทั้ง Cash (เงินสด) และ Derivatives (ตราสารอนุพันธ์) ทำให้เราเสียความสามารถในการบริหาร Yield Curve ของตัวเอง สะท้อนจากปริมาณธุรกรรม 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีต่างชาติทำธุรกรรมรวม 650,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจไทยทำไว้เพื่อป้องกันความผันผวนของดอกเบี้ยเพียง 100,000 ล้านบาท ซึ่งต่างกันถึง 6 เท่า เมื่อควบคุม Yield Curve ไม่ได้ การกำหนดดอกเบี้ยนโยบายก็ย่อมมีปัญหา และมักจะกำหนดตามตลาดแทนที่จะเป็นผู้นำตลาด สุดท้ายผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยกลับเสียประโยชน์จากความผันผวนของเส้นผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนเกินไป
“เงินออม” อาวุธของไทย ในสงครามค่าเงิน”
“เงินออม จักรกล เพื่อพัฒนา และ กระสุนปกป้องชาติไทยจากสงครามรูปแบบใหม่ สงครามที่โจมตีผ่านการค้าค่าเงินโดยเสรี” สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WealthMagik
ปัจจุบันประเทศไทยใช้เวลา 15 ปี สะสมเงินออมที่เกิดจากการค้าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ถึง 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่สามารถใช้ในการขับเคลื่อนประเทศได้
โดยยุทธวิธีการใช้ “กระสุนเงินออม” ของชาติให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในสงครามยุคใหม่ ในรูปแบบของสงครามค่าเงินคือ ความแข็งแกร่งภายในประเทศ และรู้เท่าทันต่างชาติบางกลุ่ม ที่มีเป้าประสงค์เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากการค้าค่าเงินโดยเสรี
ยุทธวิธีที่ไทยควรใช้ในสงครามรูปแบบใหม่
แต่ก่อนที่จะยิงกระสุนเงินออมเพื่อต่อสู้ในสงคราม ค่าเงิน ไทยควรเร่งแก้ปัญหาค่าเงินบาท และโครงสร้างตลาดการเงินให้เหมาะสมก่อน
เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้คือประเทศไทยมีเงินออมสูง แต่มีอัตราส่วนการลงทุนที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจน้อยมาก อีกทั้งยังมี “ค่าเงิน” ที่แข็งเกินกว่าที่จะแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ทั้ง ๆ ที่ไทยยังมีพลเมืองยากจนอยู่ ส่งผลต่อภาคการผลิต และการจ้างงาน ฯลฯ
ความต้องการ ณ เวลานี้ คือแก้ปัญหาโครงสร้าง นั่นคือ การปรับมาตรการที่เอื้อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างเสรีให้รัดกุม หรือมีการกรองให้เหมาะสมมากขึ้น วันนี้ เรายังยึดติดแนวความคิดในยุคที่ประเทศขาดเงินออม ต้องจำยอมรับการเปิดเสรีให้ต่างชาติมีอิสระในการเข้ามาเล่นค่าเงินบาท เราต้องยอมรับว่ามหาอำนาจต่างชาติมีเม็ดเงินมากกว่าเรามากมาย มีประสบการณ์ทักษะชั้นเทพในการเล่นค่าเงิน
สงครามการเงินในบริบทนี้ เราเสียเปรียบแบบไม่เห็นทางชนะเลย การรบในสงครามการเงินยุคใหม่ เราต้องศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งเข้าใจเป้าหมายของสงคราม และกำหนดยุทธการที่เราไม่เป็นลูกไล่ของข้าศึกหากเราไม่ได้ขาดเงินออม เงินส่วนเกินที่ไหลเข้ามาย่อมก่อผลเสียต่อการพัฒนาประเทศสร้างปัญหาในการกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน
วันนี้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินจากต่างประเทศแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียกร้องอธิปไตยการกำหนดค่าเงินคืนมาคนไทยที่ผูกอนาคตกับเศรษฐกิจไทยย่อมสามารถกำหนดค่าเงินของตนเองได้ถูกต้องกว่านักเก็งกำไรต่างชาติที่หวังแต่รายได้กำไรจากการค้าเงินตราที่เขาถือเป็นอาชีพถึงเวลาแล้วที่เราจะเคารพการกำหนดค่าเงินโดยคนไทยเพื่อคนไทยที่มีส่วนได้เสียกับความสำเร็จของประเทศ
เราอยู่ในฐานะและมีศักยภาพในการรักษาค่าเงินให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมกับดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และ ดัชนีค่าเงินที่แท้จริง (REER) ซึ่งควรอยู่ในระดับ 38.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ไม่ใช่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างที่เป็นอยู่
ที่มาภาพ : งานประชุมระดมสมอง ออมดอลลาร์ช่วยชาติ กองทุนรวมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด
แนวทางการรักษา ค่าเงิน บาทให้เหมาะสม และใช้เงินออมให้เกิดประโยชน์ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการเงินภาคธุรกิจ และนักวิชาการ เพื่อวางแผน และแก้ไขปัญหาค่าเงินให้เหมาะสม ก่อนที่เงินบาทจะอ่อนลงเองตามกลไกตลาดเพราะเศรษฐกิจพังเกินจะเยียวยา สงครามรูปแบบใหม่ที่โจมตีค่าเงินอย่างเสรี เดิมพันสูงแบบที่ไทยไม่มีสิทธิ์แพ้
“แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ…”
ออมดอลลาร์ช่วยชาติ กองทุนรวมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ตอนที่ 2
บทความโดย www.wealthmagik.com
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : ค่าเงินบาทเท่าไหร่ เสือตัวที่ห้าจึงกลับมา