ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ โดย “อริญชยา อัตถวิบูลย์วงศ์” รายงานภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราระหว่างวันที่ 8 – 12 มิถุนายน 2563 ว่า ค่าเงินบาทค่อนข้าง “ผันผวน” ในสัปดาห์นี้ โดยเปิดตลาดในวันจันทร์ (86) ที่ระดับ 31.47/51 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (5/5) ที่ระดับ 31.48/59 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ตลอดทั้งสัปดาห์ค่าเงินบาททะยอยปรับตัวแข็งค่า โดยได้รับแรงหนุนจากเงินไหลเข้าที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า
โดยตลาดจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐระหว่างวันที่ 9-10 มิถุนายน ซึ่งคณะกรรมการกําหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00 – 0.25% และย้ําว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว จนถึงปี 2565 จนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบรรลุเป้าหมายของเฟดในการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพ ของราคา นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์ว่า ในปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ก่อนที่จะดีดตัวขึ้น 5% ในปี 2564
นอกจากนี้ ในวันพุธ (1016) ยังได้มีการเปิดเผยตัวเลข Core CP ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ระดับเงินเฟ้อของสหรัฐที่ระดับ 0.1% ซึ่งแย่กว่าคาดการณ์ที่ 0% ทั้งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นที่น่าพอใจและผลการประชุมของเฟดที่ค่อนข้าง Dovish และแสดงความกังวลถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจนี้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์ (12/6) ค่าเงินดอลลาร์มีแรงเข้าซื้ออีกครั้งหลังมี รายงานจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆ อีกทั้งยังมีรายงานจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัว ขึ้น 0.4% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลงติดต่อกัน 3 เดือน
สําหรับประเทศไทย ในวันจันทร์ (8/8) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมเรื่องแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามอุดช่องโหว่ในการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีต่อภาคธุรกิจและประชาชนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ เนื่องจากคาดว่าผลกระทบจะมี มากขึ้นในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังออกมาตรการในการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ โดยคาดว่าจะเห็นมาตรการใหม่ในไตรมาส 3 และจากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในวันพฤหัสบดี (11/6) ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นคนดูแลอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงการคลังจะมีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นปกติอยู่แล้ว และย้ําว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องดูแลเพื่อให้สถานการณ์ค่าเงินบาท “ไม่เป็นอุปสรรค” ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ในวันศุกร์ (12/6)
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ประกาศว่า มีการให้ “ยกเลิกเคอร์ฟิว” การห้ามออกนอกเคหสถาน แต่ยังคงการควบคุมการเดินทางเข้ามาราชอาณาจักร ทั้งทางบก น้ํา โดยเริ่มมีผลวันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563 ควบคู่การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมมีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.83-31.51 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนปิดตลาดในวันศุกร์ (12/6) ที่ระดับ 30.97/99 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
สําหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงิน “ยูโร” ช่วงต้นสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าก่อนจะกลับมาแข็งค่าหลังการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ โดยเปิดตลาดใน วันจันทร์ (8/6) ที่ระดับ 1.1290/91 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันศุกร์ (5/6) ที่ระดับ 1.1330/32 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ยูโร
โดยในวันจันทร์ (5/6) สํานักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี้รายงาน การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนปรับตัวลดลง 17.9% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งถือเป็นการหดตัวรายเดือนที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และดิ่งลง 25.3% หากเทียบเป็นรายปี โดยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้บริษัทต่างๆในเยอรมนี้ต้องปรับลดการผลิต ต่อมาในวันอังคาร (3/6) สํานักงานสถิติของรัฐบาลกลางเยอรมนี้เปิดเผยยอดส่งออกในเดือนเมษายนหดตัว 24% ขณะที่ยอดนําเข้าของเยอรมนี้ในเดือนเมษายนลดลง 16.5% และยอดเกินดุลการค้า หดตัวลงเหลือ 3.2 พันล้านยูโร
แม้ว่าค่าเงินยูโรทะยอยแข็งค่าได้หลังการประชุมเฟด ค่าเงินยูโรยังคงอยู่ในภาวะไม่แน่นอนหลังสหภาพยุโรปและอังกฤษยังคงไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ โดยในวันพฤหัสบดี (11/6) นายมิเชล บาร์นิเยร์ หัวหน้าผู้แทนการเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) กล่าวว่า อังกฤษเรียกร้องมากเกินไปในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับ EU
นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า อังกฤษกําลังต้องการทําข้อตกลงการค้ากับ EU โดยหวัง ไม่ต้องการมีภาระผูกพัน ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไข Brexit ทั้งอังกฤษและ EU จะต้องบรรลุข้อตกลงการค้าภายในสิ้นเดือนตุลาคม และให้เวลาอีก 4 เดือนสําหรับรัฐสภาของ แต่ละฝ่ายในการลงมติรับรองข้อตกลง
และในวันศุกร์ (1216) สํานักงานสถิติฝรั่งเศส (INSEE) รายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสในเดือนเมษายนลดลงจากเดือนก่อน 20.1% หลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ําจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1239 – 1.1422 ดอลลาร์ สหรัฐฯ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (12/6) ที่ระดับ 1.1319/22 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ยูโร
สําหรับการเคลื่อนไหวของ “ค่าเงินเยน” เปิดตลาดในวันจันทร์ (8/6) ที่ระดับ 109.43/44 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (5/6) ที่ระดับ 109.23/26 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ สหรัฐฯ ในวันจันทร์ (5/6) เงินเยนอ่อนค่าแม้ว่าสํานักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้มีการประกาศปรับเพิ่มประมาณการตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ปี 2563 โดยระบุว่า GDP ไตรมาส 1 ปี 2563 หดตัวลง 2.2% จากไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยก่อนหน้านี้ นายยาซูโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเคยเปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ซึ่งมีเป้าหมายที่จะบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น จะช่วยหนุนตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นขยายตัวราว 2%
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจกลับสวนทาง โดยในวันพฤหัสบดี (11/6) กระทรวงการคลังและสํานักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า ผลสํารวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น ทรุดตัวลงแตะระดับต่ําสุดในรอบ 11 ปีในไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผลสํารวจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 1 พันล้านเยน (9.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือมากกว่า ดิ่งลงสู่ระดับ 47.6 ในไตรมาส 2 ปี 2563 จากระดับ -10.1 ในไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสแล้ว
ทั้งนี้ค่าเงินเยนค่อนข้างผันผวนในวันศุกร์ (12/6) โดยปรับตัวแข็งค่านช่วงเช้าสอดรับกับการที่นักลงทุนเข้าถือ สินทรัพย์ปลอดภัยก่อนจะกลับไปอ่อนค่าในช่วงบ่าย
โดยล่าสุด สํานักข่าวซินหัวรายงานว่า ญี่ปุ่นกําลังวางแผนที่จะผ่อนคลายข้อจํากัดการเดินทางที่เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ใน ฤดูร้อนนี้ โดยจะเริ่มต้นจากการอนุญาตให้นักธุรกิจที่มาจากออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ไทย และเวียดนาม เดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 250 คนต่อวัน
ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยน เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 106.56 – 109.69 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ และปิดตลาดในวันศุกร์ (12/6) ที่ระดับ 107,42144 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ