ดูเหมือนว่ากระแสลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี่) จะกลับมาอีกครั้ง เห็นได้จากมีผู้เริ่มค้นหาและสมัครกระดานซื้อขาย หรือเทรดคริปโตกันจำนวนมาก จนบางค่ายของไทย แพลตฟอร์มล่มกันเลยทีเดียว
สาเหตุคงจะนี้ไม่พ้น ช่วงปลายเดือนธ.ค.2563 ราคาบิทคอยน์ ซึ่งเป็น สินทรัพย์ดิจิทัล ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนิยมเทรดกันมากที่สุด ทำสถิติใหม่ (นิวไฮ) พุ่งสูงทะลุเพดาน ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังทำสถิติครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง ราคาต่อ 1 เหรียญบิทคอยน์ยืนเหนือ 1 ล้านบาทมาอยู่หลายวันแล้ว
ผู้บริหารหนุ่มสุดฮอตในเวลานี้ “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BitKub) ผู้ให้บริการตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้บอกปัจจัยที่ทำให้บิทคอยน์พุ่งแรงขนาดนี้ไว้ว่า มาจาก 1.การลดลงครึ่งหนึ่งของจำนวนบิทคอยน์ที่ออกใหม่ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ครั้งแรกในปี 2555 ถัดมาปี 2559 และครั้งล่าสุดในปี 2563
- PayPal ผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ ส่งผลให้ฐานลูกค้าของ PayPal ประมาณ 300 ล้านคน รวมถึงร้านค้ากว่า 26 ล้านร้านค้า สามารถซื้อขายสินค้าด้วยบิทคอยน์ได้ ทำให้มีผู้ใช้บิทคอยน์หน้าใหม่มากที่สุดในรอบ 10 ปี
3.แหล่งเงินทุนสถาบันให้การยอมรับบิทคอยน์มากขึ้น และ 4.กฎหมายรองรับบิทคอยน์มีความชัดเจนมากขึ้น โดย ธนาคารดีบีเอส ประเทศสิงคโปร์ เสนอบริการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่ลูกค้า ซึ่งรวมไปถึงการจัดเก็บบิทคอยน์
แถมยังย้ำเตือนนักลงทุน “อะไรที่ขึ้นแรงก็คงต้องลงแรงเหมือนกัน เช่นเดียวกับบิทคอยน์ที่เป็นสินทรัพย์ประเมินราคาในอนาคตไม่ได้ ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และเงินลงทุนนั้น ควรเป็นเงินที่สามารถรับความเสี่ยงได้ด้วย”
อ่าน : เปิดโลกเงินกู้สกุลคริปโต ผ่านระบบการเงินไร้ตัวกลาง เฟื่องฟูยุคโควิด-19
สำหรับประเทศไทย แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ได้ให้การรองรับว่า คริปโตฯสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หรือไม่ได้ระบุว่า เป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่ถูกตีความเป็น สินทรัพย์ดิจิทัล นั่นหมายถึงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง
ทำให้เวลานี้มีผู้ประกอบธุรกิจที่ผ่านอนุมัติจาก ก.ล.ต. ได้ใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และเปิดให้บริการแล้ว 4 แห่ง ได้แก่
- บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ Bitkub
- บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ภายใต้ชื่อ Satang Pro
- บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Huobi
- บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex)
โดยยังมีผู้ประกอบธุรกิจได้ใบอนุญาตฯ แต่ยังไม่เปิดให้บริการอีก 2 แห่ง คือ บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Upbit และ บริษัท จีเอ็มโอ-แซด.คอม คริปโทนอมิคซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Z.comEX
มาดูกันว่าความแตกต่างของผู้ให้บริการแต่ละแห่ง และอัตราค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย หรือการถอนเงินสดเข้าบัญชีธนาคารอยู่ที่เท่าไรกันบ้าง?
เริ่มที่แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตฯอันดับหนึ่งของไทยอย่าง บิทคับ (Bitkub) ได้คิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโตฯสกุลเงินต่าง ๆที่ 0.25% ต่อครั้ง และมีค่าธรรมเนียมการถอนเงินสดอยู่ที่ 20-200 บาทต่อครั้งขึ้นอยู่กับวงเงิน
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มคือ สตางค์โปร (Satang Pro) มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย 0.25% ต่อครั้งเช่นเดียวกัน แต่จะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินสด เพียงแต่กำหนดขั้นต่ำไว้ว่าโอนเข้าบัญชีธนาคารได้ต้อง 1,000 บาทขึ้นไป
หั่วปี้ ประเทศไทย (Huobi) มีการคิดค่าธรรมเนียมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 0.25% ต่อครั้งเหมือนกับเจ้าอื่น ๆ และคิดค่าธรรมเนียมการถอนเงิน 15 บาทต่อครั้ง
มาถึง ซิปเม็กซ์ (Zipmex) เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2563 และกำลังได้รับความสนใจแก่นักลงทุนอย่างมาก เพราะการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตฯในแต่ละครั้ง จะไม่คิดค่าธรรมเนียมใด ๆ หรือเรียกง่ายๆว่า ฟรี! แต่หากขายไปแล้ว..อยากจะถอนเงิน โอนเข้าบัญชีธนาคารแล้วล่ะก็..ซิปเม็กซ์ คิดค่าธรรมเนียมต่อครั้งเพียง 20 บาทเท่านั้น
ไม่เพียงแต่บริษัทสตาร์ทอัพเท่านั้น ที่เข้ามาลงเล่นและแข่งขันกันในตลาดคริปโตฯ แต่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ชั้นนำของไทย อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ประกาศกันชัด ๆ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2564 ที่ผ่านมาว่า ได้ส่งบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด(SCB 10X) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคาร ลุยตลาดคริปโตฯเป็นที่เรียบร้อย
โดยได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อบริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X Co., Ltd.) มีทุนจดทะเบียนจำนวน 50 ล้านบาท และมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบธุรกิจผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) โดย SCB10X ถือหุ้น 100% ใน Token X
ทำให้มองได้ว่าสงครามสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี่ ในประเทศไทยกำลังจะดุเดือดขึ้นในอีกไม่ช้า และกำลังเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นในวงกว้าง เห็นได้จากเริ่มมีบริษัทน้อยใหญ่ต่างสนใจลงทุนกับธุรกิจคริปโตฯกันมากขึ้น และมีนักลงทุนจำนวนมากหันมาเสี่ยงกับสินทรัพย์ประเภทนี้ แม้คาดเดาทิศทางได้ยากก็ตาม ฉะนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนไว้ให้ดี!