บลจ.บางกอกแคปปิตอล แนะกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ชี้หุ้นยุโรปน่าสนใจในปี 2563 ส่วนหุ้นไทยแนะนำอุตสาหกรรมทวงหนี้รายย่อย ประกอบกับควรมีหุ้นกู้ไทย ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ติดพอร์ตลงทุนป้องกันความเสี่ยง
นายธนาวุฒิ พรโรจนากูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอลหรือ BCAP จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนในช่วงปี 2563 ดูเหมือนว่าจะมีแนวโมดีขึ้นจากปี 2562 จากความขัดแย้งสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน รวมถึงปัญหา Brexit เบาบางลง ประกอบกับท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นได้รับผลบวกตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2563 กลับมีปัจจัยลบใหม่อย่างการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทย โดย บลจ.บางกอกแคปปิตอลประเมินว่าปัญหาไวรัสโคโรนา จะเป็นปัจจัยลบระยะสั้นที่กระทบกับเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือน หรือ 6 เดือนข้างหน้า โดยการลงทุนที่มีความเสี่ยงอย่างหุ้นในปี 2563 คงต้องรอให้การพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจบลงเสียก่อน จึงจะสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ยังประเมินว่าหุ้นไทยในปี 2563 ยังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าใดนัก เนื่องจากมีปัจจัยลบที่เข้ามากระทบอย่างเช่นไวรัสโคโรน่าในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังมีปัญหาค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออกเสียเปรียบคู่แข่ง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี ที่จะทำให้การลงทุนภาครัฐต้องชะลอออกไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือน ทำให้หุ้นไทยมี Upside จำกัด โดยประเมินว่ากลุ่มหุ้นโรงแรม และหุ้นที่มีการทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก เป็นกลุ่มหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในปี 2563
ทั้งนี้ ประเมินว่าหุ้นไทยที่จะมีความโดดเด่นที่สุดในปี 2563 คือหุ้นที่ประกอบธุรกิจปล่อยกู้ให้ลูกค้ารายย่อย โดยเชื่อว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่ดี ส่วนหุ้นต่างประเทศประเมินว่าหุ้นยุโรปยังน่าสนใจลงทุนในปี 2563 เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนผู้นำของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลดีกับตลาดหุ้นยุโรป
ส่วน การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากจะลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมทวงหนี้รายย่อย และหุ้นยุโรปตามที่ บลจ.บางกอกแคปปิตอลแนะนำแล้ว ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้ไทย เนื่องจากเมื่อเทียบผลตอบแทนกับความเสี่ยงถือว่ายังให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันควรมีทองคำ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ในพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่อาจจะปะทุขึ้นอีก
ด้าน นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บลจ.บางกอกแคปปิตอลจำกัด กล่าวต่อว่า ในปี 2563 บางกอกแคปปิตอล มีเป้าหมายเปิดกองทุนใหม่เพิ่ม 20 กอง โดยจะมีทั้งกองทุน SSF และ RMF โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.Mass Retail 2.Provident Fund 3.Ultra High network 4.Corporaate
อย่างไรก็ตาม บลจ.บางกอกแคปปิตอล มียอดบริหารสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นกว่า 4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นสุดปี 2562 โดยในปี 2563 ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 25% และภายใน 5 ปี ตั้งเป้ายอดบริหารสินทรัพย์รวมของ บลจ.บางกอกแคปปิตอลทะลุ 1 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน บลจ.บางกอกแคปปิตอล ได้มีการลดน้ำหนักลงทุนจากจีน และฮ่องกงลง ตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เนื่องจากต้องการลดผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า และการประท้วงในฮ่องกง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาในจีน
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน นักลงทุนควรเน้นกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีโอกาสการลงทุนที่มากกว่า และให้ผลตอบแทนสูงในประเทศ และยังเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าไทยอย่างมาก โดยตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดขนาดเล็ก เมื่อเกิดวิกฤติจะทำให้นักลงทุนเลือกเทขายหุ้นไทยก่อนตลาดหุ้นขนาดใหญ่เสมอ จึงมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
อ่านข่าวอื่น คนไทยได้หรือเสียจากการลดดอกเบี้ย1%ครั้งประวัติศาสตร์