เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 เม.ย.โอเปกพลัส ได้ประกาศปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า โอเปกพลัสจะคงนโยบายการผลิตน้ำมันด้วยการปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นปี 2566 การตัดสินใจดังกล่าวของโอเปกพลัสจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
การตัดสินใจครั้งล่าสุดนี้ ส่งผลให้ปริมาณการปรับลดการผลิตน้ำมันโดยรวมของโอเปกพลัสอยู่ที่ 3.66 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.7% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก โดยแถลงการณ์ของกลุ่มโอเปกพลัสระบุว่า การปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจครั้งนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพ.ค.ไปจนถึงสิ้นปี 2566
ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในวันอาทิตย์ (2 เม.ย.) ซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียวก่อนที่การประชุมทางไกลของคณะกรรมการร่วมด้านการตรวจสอบระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่มโอเปกพลัสจะเปิดฉากขึ้นในวันนี้ (3 เม.ย.)
นักวิเคราะห์จากบริษัท Pickering Energy Partners คาดการณ์ว่า การที่โอเปกพลัสปรับลดการผลิตน้ำมันอย่างเหนือความคาดหมายนี้ อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นรุนแรงถึง 10 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (31 มี.ค.) ปิดพุ่งขึ้นโดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว เนื่องจากอิรักระงับการส่งออกน้ำมันบางส่วนจากเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.3 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 75.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 79.77 ดอลลาร์/บาร์เรล