ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชูโมเดลเกษตรโอลิมปิก ควบคู่ปฏิรูปอุตสาหกรรมเกษตรไทย หวังช่วยดันรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่า
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในงานสัมมนา “Business Today Forum ทรานฟอร์มเกษตรไทย ฝ่าคลื่นดิสรัปต์ เกษตรอัจฉริยะ Big Data” ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยุคใหม่ภายใน 6 ดือนข้างหน้าภายใต้การนำของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะพลิกโฉมกระทรวงเกษตรฯ ให้ทันสมัยที่สุดอีกหนึ่งกระทรวงในประเทศไทย ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามายกระดับขีดความสามรถ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงอยู่แล้วในด้านการเกษตร และเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับภาคเกษตร จะช่วยทำให้ภาคเกษตรไทยก้าวหน้าได้ โดยใช้โมเดลเกษตรโอลิมปิก ที่จะมี 5 นโยบายหลักดังนี้
1.นโยบายเทคโนโลยีเกษตร จะช่วยยกระดับกระทรวงเกษตรฯ ภายใน 6 เดือน ด้วยการสร้างบิ๊กดาต้า ซึ่งฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นจะต้องสามรถนำไปใช้กับภาคเกษตรกรได้จริงด้วย นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯ จำเป็นต้องมีพันธมิตรในส่วนต่าง ๆ สำหรับช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยในครั้งนี้ด้วย
2.ตลาดการเกษตร ต้องดูว่าตลาดมีความใหญ่มากแค่ไหน ราคาค้าปลีกในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร การขนส่งเป็นอย่างไร ต้นทุนเท่าไร ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีข้อมูลและเลือกตลาดที่ถูกกับผลิตภัณฑ์ด้วย
3.ประกันรายได้การเกษตร ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นหลักคิดที่ดีในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ที่ผ่านมาเกษตรกรยังเป็นหนี้จากราคาพืชผลที่ตกต่ำ แต่หากมีการประกันรายได้พืชเกษตร 5 ชนิดที่เกษตรกรปลูกจะทำให้เกษตรกรในประเทศมีกำไรจากการขายผลผลิต และจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรอีกด้วย
4.เกษตรปลอดภัย จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคเกษตรกรไทย ที่สำคัญคือการทำเกษตรอย่างยั่งยืนโดยยึดหลักธรรมชาติและเศรษฐกิจพอเพียง
5.เศรษฐกิจการเกษตร เมื่อเรามีกองกำลังประกันรายได้จะเป็นเรื่องที่ดีของภาคเกษตรและเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ รวมไปถึงการบริหารจัดการภายในฟาร์มต่าง ๆ ที่ทันสมัยขึ้น อาทิ สมาร์ท ฟาร์มเมอร์ จะช่วยยกระดับภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืน
ทั้งนี้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพาภาคเกษตรไทยก้าวข้ามระบบอานาลอกไปสู่ระบบดิจิทัลให้ได้ และเมื่อการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นจะยิ่งทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนการจะไปสู่มิติใหม่หรือยุคดิจิทัลนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงแนวความคิดใหม่ของภาคเกษตรด้วย
“ปัจจุบันเกษตรกรไทยมีรายได้ 6 พันเหรียญต่อคนต่อปี ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ต่ำมากหากเทียบกับการเป็นประเทศผู้นำด้านการเกษตร ดังนั้นเราจำเป็นต้องสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอย่างน้อย 3 เท่า โดยรายได้ต้องไปถึง 1.5 หมื่นเหรียญต่อคนต่อปี ภายในไม่เกิน 20 ปี แต่ในยุคดิสรัปชันสามารถทำให้เกิดขึ้นเร็วกว่านั้นได้”
ขณะเดียวกัน เมื่อเราพูดถึงการขับเคลื่อนสู่มิติใหม่ของเภาคเกษตร 4.0 ทุกคนต้องเข้าใจว่าการเริ่มต้นหมายความอย่างไร ซึ่งเกษตร 1.0 และ 2.0 หรือ 3.0 ต้องพร้อมจะขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยต้องสร้างสมดุลของประเทศในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับให้เกิดภาคเกษตร 4.0 ในประเทศอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี กระทรวงเกษตรฯ จะไม่ใช้นโยบายแบบเดิมอีกต่อไป แต่ต้องมีการวางแนวคิดอย่างเป็นระบบ และต้องรู้ตัวว่าทักษะเกษตรกรของไทยอยู่ในระดับโลกอยู่แล้ว และกำหนดเป้าหมายว่าจากนี้ต่อไปประเทศไทยจะอยู่ในส่วนไหนของโลกและต้องการจะมีบทบาทด้านการเกษตรกับโลกอย่างไร โดยเรามีเป้าหมายการปฏิรูปเกษตรไทยให้แซงหน้าอีก 11 ประเทศของโลกที่อยู่เหนือเราในด้านการเกษตรให้ได้
ดังนั้น มิติต่อไปของภาคการเกษตรไทย เราจะแปรงร่างเกษตรไทยให้ก้าวเป็นแชมป์โอลิมปิกให้ได้ โดยกระทรวงฯ จะขยายการปลูกพืชต่าง ๆ ไปสู่พรีเมี่ยมเกรดของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้กระทรวงฯ จะไม่ปลูกฝังให้เกษตรกรพึ่งพาการปลูกพืชเชิงเดียวอีกต่อไป แต่ต้องมีการสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปด้วยเทคโนโลยีได้ด้วย
ทั้งนี้ เมื่อทุกคนเห็นภาพใหญ่แบบเดียวกัน จะทำให้เราอยู่ในระดับชั้นนำของโลกได้ โดยปัจจุบันเราอยู่อันดับ 12 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ภายใต้เป้าหมายที่สำคัญ โดยจะต้องมีนโยบายเป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จ และต้องมีเป้าหมายการยกระดับพัฒนาโดยการใช้ภาคเกษตรเป็นฐานรากที่สำคัญให้กับประเทศ และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องดังกล่าวจะทำให้ใช้เวลาไม่นาน โดยเพียงแค่ 6 เดือน ทุกคนจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ