ตลาดเงินตลาดทุนปั่นป่วนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลออันเนื่องมาจากสงครามการค้า เรียกว่าสร้างความปั่นปั่นทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดพันธบัตร ทองคำและน้ำมัน แต่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบแตกต่างกัน
จากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อยาวนานข้ามปี ได้ส่งผลกระทบแต่ละตลาดแตกต่างกัน และที่เห็นได้ชัดที่สุดคือบรรดากองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในแต่ละตลาด
“Business Today” สำรวจข้อมูลผลตอบแทนของบรรดากองทุน จาก WealthMagik โดยเป็นข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่ากองทุนที่ให้ผลตอบแทนในรอบ 1 ปีสูงสุด คือ กองทุนรวมหน่วยลงทุน ขณะที่กองทุนที่ผลตอบแทนย่ำแย่ที่สุดคือ กองทุนน้ำมัน
ทั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบเฉพาะกองทุนที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในแต่ละประเภท
อันดับที่ 1 กองทุนประเภทกองทุนรวมหน่วยลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 1 ปี คือ กองทุนเปิดธนชาตพร็อพเพอร์ตี้เซ็คเตอร์ฟันด์ (T-Property) เป็นกองทุนที่มุ่งลงทุนในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนโยบายมุ่งลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสาร ทั้งที่จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ อาทิ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และหรือหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REITs)
T-Property มีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 1 อยู่ที่ 25.21% ราคา NAV อยู่ที่ 15.0541 บาท
อันดับที่ 2 กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลด์ 8 เปอร์เซ็นต์ ทริกเกอร์(PRINCIPAL GOLD8P) ผลตอบแทนทะยานขึ้นตามราคาทองคำโลก มีอัตราผลตอบแทน 24.73% ราคา NAV อยู่ที่ 8.6919 บาท
อันดับที่ 3 กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร (K-ICT) ผลตอบแทนขยับขึ้นตามหุ้นกลุ่มสื่อสาร มีอัตราผลตอบแทน 13.52% ราคา NAV อยู่ที่ 9.2574 บาท
อันดับที่ 4 กองทุน RMF ตราสารทุน กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ(KFGBRANRMF) โดยมีนโยบายลงทุนในหน่วยงานลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน Morgan Stanley Investment Fund Global Brands Fund(Class Z) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.00 ของ NAV ซึ่งมีผลตอบแทน 9.47% ราคา NAV อยู่ที่ 12.8258 บาท
อันดับที่ 5 กองทุน RMF ตราสารหนี้ กองทุนเปิดกรุงศรีพันธบัตรระยะยาวเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFLTGOVRMF) ได้อานิสงส์จากนักลงทุนหันไปหาพันธบัตรมากกว่าหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน มีอัตราผลตอบแทน 5.57% ราคา NAV อยู่ที่ 14.1355 บาท
อันดับที่ 6 กองทุน LTF กองทุนเปิดภัทร สมาร์ท มินิมั่ม โวลาติลิตี้ หุ้นระยะยาว (PHATRA SmartMV LTF) มีอัตราผลตอบแทน 5.13% ราคา NAV อยู่ที่ 11.5014 บาท
อันดับที่ 7 กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้(KFAFIX) มีอัตราผลตอบแทน 4.22% ราคา NAV อยู่ที่ 10.8263 บาท
อันดับที่ 8 ตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนเปิดธนชาตธีรสมบัติ(T-TSB) มีอัตราผลตอบแทน 4.22% ราคา NAV อยู่ที่ 10.8263 บาท
อันดับที่ 9 เป็นประเภทกองทุนที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 1 ปี คือ กองทุนน้ำมัน แม้แต่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ออยล์ (TUSOIL) ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงสุดก็ติดลบมากถึง -20.82% ราคา NAV อยู่ที่ 6.5975 บาท
หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองทุน 9 ประเภทก็สะท้อนให้เห็นทิศทางของตลาดเงินตลาดทุนชัดเจนขึ้น และชี้ให้เห็นว่าหลักทรัพย์ประเภทใดที่มีความเสี่ยงและผันผวนสูง
จากผลตอบแทนของบรรดากองทุน ยังสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น คนจึงหันไปพักเงินไว้ที่ทองคำและพันธบัตร