ดูท่าทางแล้ว “ร้านค้า” อาจไม่ใช่อนาคตสำหรับบริษัทเครื่องเสียงและสินค้าอิเลกทรอนิกส์ระดับไฮเอนด์อย่าง Bose ซึ่งประกาศปิดสาขาในสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
หลังจากขายลำโพงและหูฟังตามร้านสาขาทั่วโลกมานาน 27 ปี Bose ก็ประกาศว่าจะปิดสาขาในอเมริกาเหนือ ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลียในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ในช่วงที่บริษัทหันไปทุ่มลงทุนด้านออนไลน์มากขึ้น
Bose เปิดเผยว่าจะปิดสาขาประมาณ 119 แห่งในอนาคตอันใกล้ แต่สาขา 130 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย เอเชียอาคเนย์ และเกาหลีใต้จะยังเปิดให้บริการ
Colette Burke รองประธานฝ่ายขายทั่วโลกของ Bose Corporation ระบุว่าแต่เดิมสาขาต่างๆ เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้าไปสัมผัส ทดลอง และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับส่วนประกอบต่างๆ รวมถึงเรื่องซีดี หรือระบบสร้างความบันเทิงในบ้าน แต่ทางบริษัทต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ในจุดที่ลูกค้าต้องการ
ทั้งนี้ นอกจากลูกค้าพากันหันไปซื้อของทางออนไลน์กันมากขึ้นแล้ว สินค้าของ Bose ยังมีวางขายตามร้านค้าปลีกใหญ่ๆ ในสหรัฐ อย่าง Best Buy และ Target ทั้งยังมีหน้าร้านบนแอมะซอน
คาดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะกระทบถึงพนักงานหลายร้อยชีวิต แต่บริษัทจะเสนอความช่วยเหลือในการหางานใหม่และจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ
ข่าวนี้น่าจะสร้างความผิดหวังให้แก่บรรดานักเล่นเครื่องเสียง ซึ่งชื่นชอบการไปร้านเครื่องเสียง นับตั้งแต่ Bose เปิดร้านแรกขึ้นเมื่อปี 2536 หลังจากเริ่มทำธุรกิจในปี 2507 ที่รัฐแมสซาชูเซตต์ สหรัฐอเมริกา
Bose ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องระบบเครื่องเสียงและลำโพงในบ้าน หูฟังที่ตัดเสียงรบกวน เครื่องเสียงระดับมืออาชีพ และระบบเสียงในรถยนต์ เป็นรายล่าสุดที่ได้รับผลกระทบจากกระแสออนไลน์ ในช่วงที่ร้านค้าปลีกสินค้าปลีกอิเลกทรอนิกส์ในหลายประเทศ ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อแข่งขันกับผู้ค้าปลีกออนไลน์ อย่างแอมะซอน ซึ่งสามารถเสนอราคาที่ดีกว่า ทั้งยังจัดส่งเร็วกว่าสำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการปรึกษากับคนขายก่อนตัดสินใจซื้ออะไร
อย่างไรก็ตาม สินค้าของ Bose ไม่ได้หายไปจากโลกค้าปลีก โดยจะไปอยู่บนโลกออนไลน์แทน และอาจทำให้แบรนด์มีฐานที่แข็งแกร่งขึ้น
การเคลื่อนไหวของ Bose สะท้อนว่าปีนี้อาจเป็นอีกปีที่โหดร้ายสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกสหรัฐ หลังจากเมื่อปีที่แล้วร้านค้าปลีกในสหรัฐประกาศปิดตัวไป 9,302 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 59% และนับว่ามีจำนวนมากที่สุดตั้งแต่ Coresight Research เริ่มเก็บสถิติเมื่อปี 2555
นักวิเคราะห์ของยูบีเอสประเมินว่ายอดขายทางออนไลน์มีสัดส่วนประมาณ 16% ของยอดขายปลีกในปัจจุบัน แต่จะเพิ่มเป็น 25% ภายในปี 2569 อันอาจบีบให้ร้านต่างๆ ในสหรัฐ ต้องปิดตัวลงอีก 75,000 แห่งภายใน 6 ปี โดยอาจเป็นร้านขายเสื้อผ้า 20,000 แห่ง และร้านขายสินค้าอิเลกทรอนิกส์อุปโภคบริโภค 10,000 แห่ง