ดัชนีภาวะเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัว จากการกระตุ้นภายในประเทศ ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐร่วง สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้ามากกว่า
จีนเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนสิงหาคม ดีดตัวขึ้นแตะ 52.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน สวนทางกับดัชนีภาคการผลิต (ISM) ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.1 เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคาม 2016 หลังจากที่เกิดข้อพิพาทสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนตลอดช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา
ดัชนี PMI ภาคบริการดังกล่าวจัดทำโดยมาร์กิตร่วมกับไฉซิน เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีนี้ และเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.6 เมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัวจากกำลังซื้อในประเทศ
[restrict]เนื่องจากเป็นการเคลื่อนไหวสูงกว่าระดับ 50 สอดคล้องกับสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการในเดือนเดียวกันอยู่ที่ระดับ 53.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.7 ในเดือนก่อนหน้าเช่นกัน
ขณะที่ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2016 โดยลดลงจากระดับ 51.2 ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากภาคธุรกิจมีความวิตกต่อการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลให้คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกของสหรัฐหดตัวลง
นอกจากนี้ มูลค่าการค้าด้านการบริการของจีนในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ระดับ 3.09 ล้านล้านหยวน หรือ 436,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.2% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกบริการที่ 1.1 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 9.5% ขณะที่เป็นการนำเข้าบริการอยู่ที่ 1.99 ล้านล้านหยวน ส่งผลให้จีนมียอดขาดดุลการค้าด้านการบริการ 887,100 ล้านหยวน ลดลงจากช่วง้ดียวกันปีก่อน 9.8%
ส่วน China Foreign Exchange Trading System (CFETS) ได้กำหนดค่ากลางเงินหยวนในวันพุธที่ระดับ 7.0878 หยวนต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากสัปดาห์ก่อนที่อ่อนค่าลงแตะระดับ 7.15 หยวนต่อดอลลาร์
ล่่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตกดดันจีนให้เร่งทำข้อตกลงการค้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยชี้ว่า การเจรจาจะยากลำบากมากขึ้น หากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2020 เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 16 เดือนถือเป็นเวลานานที่สหรัฐจะต้องสูญเสียเกี่ยวกับการจ้างงาน และเม็ดเงินที่หายไปด้วย ขณะเดียวกับที่ห่วงโซ่อุปทานของจีนจะทรุดตัวลง
จากผลสะท้อนของภาคการผลิตสหรัฐที่อ่อนตัวลง ส่งผลต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ร่วงลงในแดนลบ นำโดยดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 26,118 ร่วงลง 285.26 จุด หรือ 1.08% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,906 ร่วงลง 0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,874 ร่วงลง 1.11%
ทางด้านบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต้องพ่ายในสภา เจอเสียงโหวตงูเห่าในพรรคอนุรักษ์นิยม สกัดนโยบายถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) โดยไร้ข้อตกลง Brexit
โดยที่สมาชิกรัฐสภาที่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน และ ส.ส.งูเห่าในพรรคอนุรักษ์นิยม 21 เสียง ซึ่งเป็นฝ่ายพรรครัฐบาล ได้ร่วมมือกับฝ่ายค้านลงมติด้วยคะแนนเสียง 328 ต่อ 301 เสียงเมื่อวันอังคาร ในการเข้าควบคุมกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภา สามารถสกัดความพยายามของบอริส จอห์นสัน ในการนำอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 31 ตุลาม โดยไม่มีการทำข้อตกลง
ผลการลงมติในวันอังคารที่ผ่านมา เป็นการให้เวลาสภาจนถึงวันพุธ สำหรับนำเสนอกฎหมายฉบับหนึ่งที่จะกดดันให้บอริส จอห์นสัน ต้องเลื่อนการถอนตัวออกของอังกฤษจาก EU ออกไปเป็นวันที่ 31 มกราคมปีหน้า หากไม่สามารถยุติข้อตกลง Brexit กับ EU ได้ภายในวันที่ 19 ตุลาคม
ส่งผลต่อเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.1968 ดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2016 ขณะเดียวกันผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษดิ่งลงหลุดระดับ 50 สู่ระดับ 47.4 ต่ำสุดในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2012[/restrict]