สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA หารือร่วมกับ Startup และภาคีอุตสาหกรรมการแพทย์ เตรียมนำเทคโนโลยีมาใช้รับมือในภาวะฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
- คนไอทีตบเท้า! ช่วยพลิกวิกฤตไวรัส COVID-19
- วิศวฯ และแพทย์ จุฬาฯ จับมือ เอไอเอส นำ 5G เสริมความสามารถหุ่นยนต์เฝ้าระวัง โควิด-19
- สภาอุตฯ เตรียมนำระบบติดตามสินค้า ช่วยคนไอทีต่อยอด กันกักตุนยามวิกฤต
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้โพสต์ Facebook Page ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด อว.รับมือสถานการณ์ฯในภาวะฉุกเฉิน โดยมอบให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เป็นแม่งานในการหารือแนวทางการรับมือสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน พร้อมเชิญกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมาร่วมหารือด้วย ทั้งนี้ ในที่ประชุมแบ่งการรับมือออกเป็น 2 สถานการณ์ คือ การรับมือในสถานการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วน และการรับมือที่จำเป็นแต่ไม่เร่งด่วน โดยแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่
- การพัฒนาระบบการติดตาม และ การตรวจสอบ ถือว่าจำเป็นเร่งด่วน เพื่อติดตามคนที่เดินทางเข้าประเทศทั้งหมดตั้งแต่ผ่าน ตม. โดยการให้ผู้ที่เดินทางทั้งหมดติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพื่อให้สามารถทราบตำแหน่ง และรายงานผลแบบทันทีบนแผนที่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จะสนับสนุนระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (mega data) ร่วมกับสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ (TTSA) และกรมควบคุมโรค
- การใช้ระบบการแพทย์และสุขภาพทางไกล ซึ่งเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อช่วยในคัดกรอง วินิจฉัยเบื้องต้น และตอบคำถาม ผ่านทางปัญญาประดิษฐ์ และ ระบบตอบการสนทนาอัตโนมัติ (Chat bot) แก่ประชาชนในกรณีที่เกิดความวิตกกังวล ตลอดจนการดูแลตัวเองเบื้องต้น นอกจากนี้ ระบบการแพทย์และสุขภาพทางไกล อาจจะช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังในการลดการมาโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยตั้งเป้าหมายการลดการมา 20% โดยมอบให้สมาคม health tech startup ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับผิดชอบ
- ระบบแสดงตำแหน่งและจัดส่งสิ่งจำเป็นทางการแพทย์ ซึ่งจำเป็นเร่งด่วน การพัฒนาแผนที่แสดงตำแหน่งที่จำหน่ายหน้ากาก ( Mask map) เพื่อให้ประชาชนทราบและสามารถซื้อได้ และแผนที่แสดงตำแหน่งของห้องน้ำที่มีความปลอดภัย (Clean toilet map) รวมถึงวิธีการกระจายหน้ากากอนามัย และการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ มอบให้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคม health tech startup รับผิดชอบ และ
- การบริหารจัดการด้านวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ และการกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้านการผลิต เช่น หน้ากาก แอลกอฮอล์ เจล ชุดตรวจ โดยการจัดหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการควบคุมโรค เช่น การหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI กรมสรรพสามิต และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อปลดล็อคหรือแก้ปัญหาของอุตสาหกรรม มอบให้ สวทช. และ สภาอุตสาหกรรมกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ รับผิดชอบ
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ เนื่องจากบางระบบเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ได้ทันที ซึ่งในแต่ละกลุ่มย่อยจะมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแล หารือ ประสานงานและติดตามงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
โดยจะนำร่องใช้ประโยชน์ผ่านเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี สวนดอก และโรงพยาบาลภายใต้สังกัด อว. ก่อนขยายต่อไปยังเครือข่ายอื่นทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักเรียน และวัยทำงาน เพราะหากประเทศไทยเข้าสู่ระยะ 3 หรือในสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลให้เลื่อนการเปิดเทอมของนักเรียน หรือการ reskill ให้กลุ่มวัยทำงานในการทำงานจากที่บ้าน (work at home) การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาด้านระบบการศึกษา (Edtech) เป็นอีกสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญ และเริ่มมองหาลู่ทางที่ตอบโจทย์ในอนาคต